“ไนท์แฟรงค์” ระบุ เบร็กซิต ได้ข้อสรุป หลังอังกฤษเซ็นสัญญาข้อตกลงการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป กดราคาอสังหาฯ ลอนดอน นักลงทุนไทยสบช่องเงินบาทแข็งค่า แห่ลงทุนอสังหาฯ ในลอนดอน
นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองภายในสหราชอาณาจักรใกล้สิ้นสุดลง หลังการเซ็นสัญญาข้อตกลงการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มกราคม ปี 2563 นี้ ซึ่งสิ่งที่ตามมาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน คือ ผลกระทบต่อภาคการเงินของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ เนื่องจากสหราชอาณาจักรจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลจากการถอนตัวเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
“ช่วงระยะเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไทยที่ต้องการลงทุนอสังหาฯ ในสหราชอาณาจักรหรือลอนดอน ไม่ว่าจะเป็นทั้งการลงทุนเพื่อเก็งกำไรหรือเพื่อใช้อยู่อาศัยเอง เพราะเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้น ซึ่งแข็งค่ามากกว่าค่าเงินอื่นในหลายๆ ภูมิภาค ณ เวลานี้ โดยมีอัตราแข็งค่าสูงสุดในรอบ 6 ปี ในขณะเดียวกัน มูลค่าอสังหาฯ ก็ราคาถูกลงและผู้ซื้อเองก็สามารถต่อรองข้อเสนอได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย”
ทั้งนี้ จากผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ พบว่า ในช่วง 10 เดือนของปี 2562 (ณ เดือนกันยายน 2562) ราคาขายเฉลี่ยในย่านไพรม์ใจกลางลอนดอนปรับลดลง 3.9% เป็นการลดต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือน ในขณะที่ย่านไพรม์รอบนอกลอนดอน ปรับลดลง 3.5% ซึ่งปรับลดลงต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561
อย่างไรก็ตาม สัญญาณความไม่แน่นอนยังมีอยู่ในตลาด การเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยโดยเฉลี่ยทั่วสหราชอาณาจักรยังคงทรงตัว มีการปรับเพิ่มขึ้น 1.3% จนถึงเดือนกันยายน 2562 เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตต่อปี 7.5% ก่อนการลงประชามติเบร็กซิต
นายข่าน กล่าวว่า ในปี 2561-2562 นักลงทุนไทยมีอัตราการซื้ออสังหาฯ ในลอนดอนสูงสุด ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการลงทุน เนื่องจากปัจจัยหลักข้างต้นที่ดึงดูดผู้ซื้อชาวไทย รวมไปถึงกลุ่มผู้ซื้อจากสิงคโปร์และฮ่องกงที่กำลังรอจังหวะในการลงทุนในสหราชอาณาจักรและลอนดอน หากมองย้อนกลับไปในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ตอนเบร็กซิตเพิ่งเริ่มเกิดขึ้น ความต้องการอสังหาฯ ในสหราชอาณาจักรของกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยเพิ่มขึ้นอยู่ประมาณ 40-50% หากเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นสูงขึ้นถึง 80% หลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
“ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหราชอาณาจักรทำให้จำนวนผู้ซื้อชาวไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลไพรม์ อย่างเช่น เคนซิงตัน (Kensington) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) ฮอลแลนด์ พาร์ค (Holland Park) เบลกราเวีย (Belgravia) และแฮร์รอดส์ (Harrods) โดย 60% ซื้อไว้เพื่อให้ลูกหลานที่มาศึกษาต่อ และอีก 30-40% ซื้อไว้เพื่อการลงทุนเก็งกำไร ซึ่งลดลงจากช่วง 5 ปีก่อน ที่ 90% ซื้อไว้เพื่อการศึกษาของลูกหลาน ทั้งนี้ จะเห็นได้ชัดว่านักศึกษาต่างชาติเป็นส่วนสำคัญของตลาดอสังหาฯ”
นอกจากนี้ ความต้องการเช่ายังคงมีมากกว่าอุปทานในตลาดและผลักดันราคาอสังหาฯ ในพื้นที่ดังกล่าว เพราะผู้อยู่อาศัยจำนวนมากหันมาเช่ากันมากขึ้นในช่วงนี้ โดยเฉพาะในแฮมเมอร์สมิธ (Hammersmith) ที่มีค่าเช่าระหว่าง 900-950 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3-5% ทุกๆ ปี และมีอัตราผลตอบแทนจากค่าเช่าสุทธิ 2.8-2.9% ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.2 - 1.3 ล้านปอนด์สำหรับ 2 ห้องนอน และราคา 1.5-1.6 ล้านปอนด์สำหรับ 3 ห้องนอน บริเวณนี้ถือเป็นย่านที่มีราคาไม่แพงมากนักสำหรับการอยู่อาศัย หากเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง และตั้งอยู่ใกล้กับใจกลางลอนดอน ซึ่งห่างเพียงไม่กี่สถานี
นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองภายในสหราชอาณาจักรใกล้สิ้นสุดลง หลังการเซ็นสัญญาข้อตกลงการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มกราคม ปี 2563 นี้ ซึ่งสิ่งที่ตามมาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน คือ ผลกระทบต่อภาคการเงินของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ เนื่องจากสหราชอาณาจักรจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลจากการถอนตัวเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
“ช่วงระยะเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไทยที่ต้องการลงทุนอสังหาฯ ในสหราชอาณาจักรหรือลอนดอน ไม่ว่าจะเป็นทั้งการลงทุนเพื่อเก็งกำไรหรือเพื่อใช้อยู่อาศัยเอง เพราะเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้น ซึ่งแข็งค่ามากกว่าค่าเงินอื่นในหลายๆ ภูมิภาค ณ เวลานี้ โดยมีอัตราแข็งค่าสูงสุดในรอบ 6 ปี ในขณะเดียวกัน มูลค่าอสังหาฯ ก็ราคาถูกลงและผู้ซื้อเองก็สามารถต่อรองข้อเสนอได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย”
ทั้งนี้ จากผลวิจัยของไนท์แฟรงค์ พบว่า ในช่วง 10 เดือนของปี 2562 (ณ เดือนกันยายน 2562) ราคาขายเฉลี่ยในย่านไพรม์ใจกลางลอนดอนปรับลดลง 3.9% เป็นการลดต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือน ในขณะที่ย่านไพรม์รอบนอกลอนดอน ปรับลดลง 3.5% ซึ่งปรับลดลงต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561
อย่างไรก็ตาม สัญญาณความไม่แน่นอนยังมีอยู่ในตลาด การเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยโดยเฉลี่ยทั่วสหราชอาณาจักรยังคงทรงตัว มีการปรับเพิ่มขึ้น 1.3% จนถึงเดือนกันยายน 2562 เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตต่อปี 7.5% ก่อนการลงประชามติเบร็กซิต
นายข่าน กล่าวว่า ในปี 2561-2562 นักลงทุนไทยมีอัตราการซื้ออสังหาฯ ในลอนดอนสูงสุด ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการลงทุน เนื่องจากปัจจัยหลักข้างต้นที่ดึงดูดผู้ซื้อชาวไทย รวมไปถึงกลุ่มผู้ซื้อจากสิงคโปร์และฮ่องกงที่กำลังรอจังหวะในการลงทุนในสหราชอาณาจักรและลอนดอน หากมองย้อนกลับไปในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ตอนเบร็กซิตเพิ่งเริ่มเกิดขึ้น ความต้องการอสังหาฯ ในสหราชอาณาจักรของกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยเพิ่มขึ้นอยู่ประมาณ 40-50% หากเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นสูงขึ้นถึง 80% หลังค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
“ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหราชอาณาจักรทำให้จำนวนผู้ซื้อชาวไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลไพรม์ อย่างเช่น เคนซิงตัน (Kensington) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) ฮอลแลนด์ พาร์ค (Holland Park) เบลกราเวีย (Belgravia) และแฮร์รอดส์ (Harrods) โดย 60% ซื้อไว้เพื่อให้ลูกหลานที่มาศึกษาต่อ และอีก 30-40% ซื้อไว้เพื่อการลงทุนเก็งกำไร ซึ่งลดลงจากช่วง 5 ปีก่อน ที่ 90% ซื้อไว้เพื่อการศึกษาของลูกหลาน ทั้งนี้ จะเห็นได้ชัดว่านักศึกษาต่างชาติเป็นส่วนสำคัญของตลาดอสังหาฯ”
นอกจากนี้ ความต้องการเช่ายังคงมีมากกว่าอุปทานในตลาดและผลักดันราคาอสังหาฯ ในพื้นที่ดังกล่าว เพราะผู้อยู่อาศัยจำนวนมากหันมาเช่ากันมากขึ้นในช่วงนี้ โดยเฉพาะในแฮมเมอร์สมิธ (Hammersmith) ที่มีค่าเช่าระหว่าง 900-950 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3-5% ทุกๆ ปี และมีอัตราผลตอบแทนจากค่าเช่าสุทธิ 2.8-2.9% ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.2 - 1.3 ล้านปอนด์สำหรับ 2 ห้องนอน และราคา 1.5-1.6 ล้านปอนด์สำหรับ 3 ห้องนอน บริเวณนี้ถือเป็นย่านที่มีราคาไม่แพงมากนักสำหรับการอยู่อาศัย หากเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง และตั้งอยู่ใกล้กับใจกลางลอนดอน ซึ่งห่างเพียงไม่กี่สถานี