LPN ขานรับแนวทางการผ่อนคลาย LTV และปรับเกณฑ์การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่อยู่อาศัย ผนึกกับมาตรการบ้านดีมีดาวน์-ลดค่าโอน ช่วยปลุกกำลังซื้อพลิกฟื้นธุรกิจอสังหาฯ ปี 2563 พร้อมอัดโปรโมชันโครงการสร้างเสร็จพร้อมขายต่อเนื่อง ชูธงแนวคิด “ความพอดีที่ดีกว่า” สร้าง “ชุมชนน่าอยู่” สร้างความพึงพอใจให้ผู้บริโภค
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ไม่ให้ตึงเกินไปจนส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องมากเกินควร โดยได้มีข้อเสนอให้ ธปท.ผ่อนคลาย LTV ของบ้านหลังที่ 2 ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับบ้านหลังแรก
ทั้งนี้ แนวคิดดังกล่าวจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาวะที่เศรษฐกิจในภาพรวมยังทรงตัว โดยเฉพาะการระบายสต๊อกคอนโดมิเนียมที่ยังคงเหลืออยู่ในตลาด เนื่องจากในข้อเท็จจริงการซื้อบ้านหลังที่ 2 เพื่อการได้อยู่อาศัยใกล้แหล่งงาน และการลงทุน โดยการซื้อเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งไม่ใช่การเก็งกำไรก็มีอยู่จำนวนมาก หาก ธปท.พิจารณาปรับเงื่อนไข LTV สำหรับบ้านหลังที่ 2 โดยให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ LTV บ้านหลังแรก จะทำให้เกิดการซื้อขายในกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปได้
นอกจากนี้ การที่กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนของภาษีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย สำหรับการจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยให้ที่ดินและสิ่งปลูกให้ที่มีลักษณะให้บุคคลใช้เพื่อการอยู่อาศัย เช่น ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเอง ให้ญาติพี่น้องอยู่อาศัย หรือให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย ให้เสียภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย จากเดิมที่จะจัดเก็บในอัตราการใช้ประโยชน์ที่ดินในประเภทอื่นๆ ซึ่งต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าที่อยู่อาศัย เพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ และยังช่วยลดภาระด้านภาษีสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาวโดยการปล่อยเช่าด้วย
“การผ่อนคลายมาตรการ LTV และการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้สำหรับการอยู่อาศัยนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนโดยตรงแล้ว ยังช่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในทางอ้อม โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 ทั้งการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ในทำเลที่ใกล้แหล่งงาน และการซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาวจากการปล่อยเช่า จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสต๊อกที่มีอยู่ในตลาดได้ดียิ่งขึ้น”
ขณะเดียวกัน มาตรการสนับสนุนประชาชนในการซื้อที่อยู่อาศัย และช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีผลบังคับใช้ในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านดีมีดาวน์ โดยการให้เงินคืน 50,000 บาท สำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 และมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่มีผลถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 เป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมาตรการสนับสนุน รวมไปถึงการผ่อนคลายหลักเกณฑ์ต่างๆ จะช่วยสร้างบรรยากาศของตลาดให้กลับมาคึกคัก และกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี
นายโอภาส กล่าวว่า ที่ผ่านมา LPN ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนมาตรการรัฐ โดยการจัดโปรโมชันร่วมกับมาตรการรัฐ ทั้งโครงการบ้านดีมีดาวน์ นอกจากจะได้รับเงินคืนจากภาครัฐเป็นจำนวน 50,000 บาท แล้ว LPN ยังให้เงินคืนเพิ่มเติมอีก 50,000 บาท รวมเป็น 100,000 บาท และการจัดโปรโมชันมอบส่วนลดเพิ่มเติมสำหรับมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง โดยในปี 2563 บริษัทยังมีการจัดโปรโมชันสนับสนุนมาตรการรัฐอย่างต่อเนื่องกับโปรโมชันสำหรับคอนโดมิเนียม "ถูกที่ ถูกเวลาในราคาที่ถูกกว่า" สำหรับบ้านลุมพินีกับแคมเปญ “สวัสดีปีชวด ไม่อยากชวดต้องรีบจอง” ซึ่งเป็นแคมเปญพิเศษสำหรับคนอยากมีบ้านพร้อมอยู่ในราคาที่เหมาะสมบนความพอดีที่ดีกว่า
ทั้งนี้ บริษัทได้นำโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมขายที่ปัจจุบันมีอยู่ 23 โครงการ โดยแบ่งคอนโดมิเนียม 18 โครงการ และบ้าน 6 โครงการ คัดเฉพาะโครงการที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ตัวอย่างคอนโดมิเนียม ได้แก่ โครงการลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก โครงการลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76(2) และโครงการลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 ตัวอย่างบ้านลุมพินี ได้แก่ บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน-วัชรพล บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 และบ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก-บางไผ่สเตชั่น เป็นต้น มาจัดโปรโมชันมอบส่วนลดพิเศษ เพื่อตอบโจทย์คนกำลังมองหาบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่อาศัย ภายใต้ความมั่นใจกับบริการหลังการขายด้วยกลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่”
“นอกจากกลยุทธ์ในเรื่องของการบริหารหลังการขายภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” แล้ว ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้ปรับภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ เพื่อรับมือการแข่งขันของปี 2563 ภายใต้แนวคิด “ความพอดี ที่ดีกว่า” เพื่อตอกย้ำปรัชญาการสร้างบ้านในแบบของ LPN ซึ่งก็คือ การสร้างบ้านที่พอดีกับชีวิตจริง อันเป็นความใส่ใจบวกกับการนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่บริษัทสั่งสมมาถ่ายทอดเป็นคุณค่าของทั้งผลิตภัณฑ์และบริการในทุกโครงการ เพื่อให้ทุกพื้นที่ของ “ลุมพินี” สามารถสร้าง “ความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัย” ให้แก่คนทุกเพศ ทุกวัยได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการปรับสถาปัตยกรรมด้านนอกอาคาร (Façade) เพื่อให้มีความทันสมัยเหมาะกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่” นายโอภาส กล่าว