บล.ทรีนีตี้ประเมินความตึงเครียดสหรัฐฯ กับอิหร่านอาจยืดเยื้อนานถึง 10 เดือน ชี้หากมีการยิงตอบโต้กันจะกดดันราคาน้ำมันขึ้นสูงสุด 83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ด้าน บล.หยวนต้าแนะให้มีทองคำติดพอร์ตประมาณ 35% เพื่อกระจายความเสี่ยง
ในงาน IAA Hot Issue “เจาะลึกผลกระทบประเด็น สหรัฐฯ-อิหร่าน” ของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน นายบุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ นักเศรษฐศาสตร์ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ความตึงเครียดสหรัฐฯ-อิหร่านมีโอกาสจะยืดเยื้อ 5-10 เดือน จนกว่าจะทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2563 หากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แพ้การเลือกตั้งเหตุการณ์น่าจะจบลงได้ เพราะเหตุผลที่เกิดสถานการณ์ดังกล่าวส่วนหนึ่งน่าจะหวังผลทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยคาดว่าสถานการณ์ช่วงนี้จะมีการตอบโต้กันของสหรัฐฯ และอิหร่านแบบกองโจรและซุ่มยิงไปมา และเหตุการณ์ครั้งนี้สหรัฐฯ น่าจะมีโอกาสชนะประมาณ 40% เพราะอิหร่านอาจจะทนแรงกดดันจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจไม่ไหว
ส่วนข้อวิตกกังวลของหลายชาติที่เกรงอิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมันประมาณ 20% ของปริมาณการผลิตน้ำมันทั้งหมดนั้น เชื่อว่ามีความเป็นไปได้เพียง 20% เพราะทางประเทศจีนไม่น่าจะยินยอม เนื่องจากเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันสูงสุดและจีนถือเป็นพันธมิตรกับอิหร่านน่าจะมีการเจรจาได้ แต่หากมีการปิดจริงจะทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกหายไปประมาณ 4.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากกำลังการผลิตของซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อาจทำให้ราคาน้ำมันขึ้นไปที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นมีการยิงตอบโต้กันราคาน้ำมันอาจขึ้นไปสูงสุดที่ 80-83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ด้านนายเอกภาวิน สุทราภิชาติ นักกลยุทธ์ บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สถานการณ์ตึงเครียดสหรัฐฯ-อิหร่านในระยะต่อไปน่าจะเป็นแบบลักษณะสงครามกองโจรที่อาจจะมีการโจมตีพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เยเมน ซึ่งจะกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์เคลื่อนไหวประมาณ 65-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลใน 1-2 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุน เพราะหากราคาเกิน 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสูงขึ้นกระทบเงินเฟ้อปรับขึ้น และอาจทำให้ต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นจะเป็นผลดีต่อหุ้นน้ำมัน โดยแนะนำหุ้น ESSO SPRC และ PTTEP
ด้านนายปิยะภัทร์ ภัทธภูวดล นักกลยุทธ์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า สถานการณ์สหรัฐฯ-อิหร่านไม่รุนแรงเท่ากับสงครามอ่าวเปอร์เซีย สหรัฐฯ จะเน้นการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่านมากกว่า ทำให้ราคาน้ำมันและทองคำปรับขึ้น ซึ่งทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนต้องมีติดพอร์ตประมาณร้อยละ 35% เพื่อกระจายความเสี่ยงในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง
ส่วนภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 ดัชนีมีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,600 จุดอีกครั้ง ส่วนแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,545-1,550 จุด ซึ่งตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกสนับสนุนจากแนวโน้มที่สหรัฐฯ-จีนจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรก และอาจจะขยายสู่การลงนามในเฟสสอง ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจและการค้าโลกดีขึ้น ประกอบกับปี 2562 หุ้นไทยปรับขึ้นมาน้อยมากเพียง 1% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ดังนั้น ปีนี้มีโอกาสที่จะมีแรงซื้อกลับมาตลาดหุ้นไทย เพราะราคาหุ้นยังต่ำหนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว โดยมีเป้าหมายดัชนีกรณีฐานที่ 1,680 จุด และกรณีดีที่สุดที่ 1,720 จุด กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 100.50 บาทต่อหุ้น