นักลงทุนประเภทเสือปืนไว หวังโกยกำไรจากวิกฤตในตะวันออกกลาง ชิงเข้าไปไล่ช้อนหุ้น ต้องบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน เพราะ ตลาดหุ้นเกิดความพลิกผันหลายตลบ ดูเหมือนจะฟื้น แต่กลับฟุบหนักลงไปอีก
นับตั้งแต่การสังหารนายพลคนสำคัญของอิหร่าน ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความปั่นป่วน ตลาดหุ้นไทยทรุดลง
ราคาหุ้นที่ปรับฐานแรง กลายเป็นการปลุกให้นักเก็งกำไรระยะสั้นเข้ามาไล่ช้อนหุ้น เพื่อดักเก็งกำไร เพราะคิดว่าตลาดหุ้นจะดีดตัวกลับ แต่เป็นความคิดที่ผิด เพราะหุ้นดิ่งลงต่อ
ชนวนสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน กำลัง ซ้ำรอยเหตุการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซีย เมื่อปี 1990 หลังจากประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนของอิรัก บุกยึดประเทศคูเวต เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงสุดประมาณ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกรูด
ตลาดหุ้นไทยที่กำลังคึกคัก ดัชนีหุ้นเพิ่งสร้างสถิติสูงสุดใหม่ที่ระดับประมาณ 1,074 จุด ต้องปรับฐานลง โดยลงไปต่ำสุดที่ระดับประมาณ 542 จุด ขณะบรรยากาศซื้อขายหุ้นตกอยู่ในภาวะซบเซาประมาณ 7 เดือน ก่อนที่สหรัฐฯ จะปลดแอกคูเวต ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสงครามอ่าวเปอร์เซีย ตลาดหุ้นจึงฟื้นขึ้นมาใหม่
ช่วงเริ่มต้นสงครามอ่าวเปอร์เซีย นักเก็งกำไรพยายามฉวยโอกาสทำกำไรจากวิกฤต โดยเข้าไปซื้อหุ้นสวนวิกฤต แต่ต้องเจ็บตัว เพราะหุ้นอยู่ในช่วงขาลงเต็มตัว
แม้บางช่วงดูเหมือนว่าจะดีดตัวขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ดิ่งลงต่อ ทำให้นักเก็งกำไรเจ็บหนักกันถ้วนหน้า จนยอมถอดใจ ไม่กล้าช้อนหุ้นสวนวิกฤต
ความตึงเครียดในตะวันออกกลางครั้งใหม่ไม่แตกต่างจากช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ ไม่สามารถคาดหมายว่า สถานการณ์จะลุกลามบานปลายอย่างไร จะมีความรุนแรงอะไรตามมา วิกฤตจะยืดเยื้อเพียงใด และผลกระทบจะหนักขนาดไหน
ภาวะสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน กลายเป็นปัจจัยชี้นำการลงทุนทั่วโลก ทั้งทองคำ น้ำมันและตลาดหุ้น ซึ่งเมื่อสถานการณ์ไม่มีความแน่นอน จึงไม่สามารถประเมินทิศทางการลงทุนได้ จะเก็งกำไรก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง
แม้ดัชนีหุ้นจะร่วงลงหนัก สัปดาห์นี้ถูกถล่มจนถอยลงไปตั้งหลักในระดับ 1,550 จุด แต่ยังไม่ได้ซึมซับรับข่าวร้ายไปหมดแล้ว และพร้อมจะลงต่อ หากเกิดเหตุการณ์ตอบโต้ ถล่มกันตูมตาม เช่นเดียวกับการยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐฯ ในอิรัก
ใครที่มองโลกในแง่ดี คิดว่าหุ้นไม่น่าจะหลุดจากระดับ 1,550 จุด ต้องคิดใหม่ ใครที่ออกมาเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยอ้างว่า ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่ง มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ และปลอบประโลมนักลงทุนไม่ให้ตื่นตระหนก ต้องระวังไว้
เพราะอาจเป็นการส่งสัญญาณผิดๆ ให้นักลงทุน และทำให้นักลงทุนต้องได้รับความเสียหายมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เคยเสียหายจากวิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซีย เพราะหลงเชื่อกลุ่มคนที่มองโลกสวย และไม่ยอมระบายหุ้นออกเพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบในวิกฤตที่เกิดขึ้น
ส่วนนักเก็งกำไรที่คิดจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส หรือนักลงทุนระยะยาวที่มองว่า หุ้นราคาถูกแล้ว และเตรียมชิงจังหวะเข้าไปช้อนเก็บหุ้น ต้องไม่ลืมว่า สงครามระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน เพิ่งเริ่มเปิดฉากในยกแรกเท่านั้น โดยไม่รู้ว่า การโจมตีครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ระดับความรุนแรงเพียงใด
และถ้าเกิดการโจมตีกันอีก หุ้นคงถูกถล่มตาม ซึ่งโบรกเกอร์บางแห่งมองว่า ดัชนีหุ้นรอบนี้มีโอกาสหลุด 1,500 จุด
วิกฤตตะวันออกกลางครั้งนี้ไม่จบง่ายแน่ และตราบใดที่ชนวนสงครามยังไม่ถูกดับ ตลาดหุ้นก็ไม่มีวันคืนกลับสู่ความคึกคัก
ยามนี้จึงควรหลีกเลี่ยงสะสมหุ้นไว้ในพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยสงครามสหรัฐฯ กับอิหร่าน
และอย่าไปฟังใครที่คุยว่า หุ้นราคาถูกแล้ว อย่าไปเชื่อใครที่อ้างว่า หุ้นไทยแข็งแกร่ง ไม่ถูกกระทบจากวิกฤตตะวันออกกลาง
เพราะเห็นแล้วว่า ดัชนีหุ้นที่ทรุดลงไปเกือบ 50 จุด จนหลุดระดับ 1,600 จุด ก็เพราะผลกระทบจากภาวะสงคราม และทำนายไม่ได้ว่า ถ้าสงครามขยายวงและเพิ่มระดับความรุนแรง
ดัชนีหุ้นไทยรอบนี้จะถูกถล่มลงไปลึกขนาดไหน