บล.ไอร่าประเมินทิศทางการลงทุนปี 2563 ภายใต้กรอบการลงทุน 1,560-1,760 จุด พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นกลุ่ม Global Play, Health Care Play, Domestic Play และกลุ่มที่มีความน่าสนใจจากผลประกอบการที่ฟื้นตัวโดดเด่น และมีโอกาสทำ New High น่าลงทุน แนะนักลงทุนเกาะติดสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านอาจกดดันภาพรวมการลงทุน และเป็นตัวแปรหลักของการลงทุนในขณะนี้
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA มองเป้าหมาย SET Index ในปี 2563 ภายใต้การประเมิน EPS ปี 63 ที่ 97.70 บาท ซึ่งมองว่าเป็นการเติบโตแบบ Conservative ที่ 4.5% ตามเศรษฐกิจไทย ในกรอบ 3.0% +/- จากประมาณการ EPS ปี 62 ที่ 93.50 บาท และคำนวณโดยใช้ PE Ratio ช่วง 15-17 เท่า ทำให้ประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้ในกรอบ 1,560-1,760 จุด
โดยมองว่าปัจจัยบวกหลักในปีนี้จะมาจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนคลี่คลายลงตามลำดับ คาดช่วยความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดย World Bank คาดการณ์ GDP โลกปี 63 ขยายตัว 2.7% ดีขึ้นเล็กน้อยจาก 2.6% เมื่อปี 62 ในขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัว โดยสภาพัฒน์ฯ ได้คาด GDP ในปีนี้ในกรอบ 2.7-3.7% แม้ยังได้รับปัจจัยกดดันจากการส่งออกที่เปราะบาง และผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่ยังคาดว่าได้รับการชดเชยจากการบริโภคในประเทศ ภายใต้มาตรการกระตุ้นที่คาดมีต่อเนื่อง และการลงทุนทั้งภาครัฐฯ และเอกชน คาดเร่งตัวขึ้นจากปี 62 รวมทั้งแผนการลงทุนภาครัฐ เช่น โครงการก่อสร้างระบบราง ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และรถไฟฟ้า รวมถึงโครงการ Motorway
นอกจากนี้ การใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ ทั้ง FED และ ECB รวมถึง BoT ที่ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายวิจัยมองว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะหนุนภาพรวมการลงทุนปีนี้ในเชิงบวกมากขึ้น ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงแนะกลยุทธ์การลงทุนในปี 63 โดยแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Global Play (พลังงาน โรงกลั่น และปิโตรเคมี) เช่น PTTEP, PTTGC, TOP, SPRC และ IVL เนื่องจากเป็นหุ้นที่อิงกับปัจจัยต่างประเทศ จากสถานการณ์สงครามทางการค้ากลับมามีสัญญาณเชิงบวกอีกครั้ง และราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับขึ้นจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ กลุ่ม Health Care Play (โรงพยาบาล) เช่น BCH, CHG และ RJH ในฐานะ Defensive Stock จากรายได้ที่สม่ำเสมอ ประกอบกับประเด็นบวกจากการปรับขึ้นค่าเหมาจ่ายรายหัวประกันสังคม กลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากโครงการขนาดใหญ่ที่คาดทยอยเปิดประมูลในปี 63 มูลค่ารวมประมาณ 750,000 ล้านบาท ยังเป็นปัจจัยหนุนกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะรายใหญ่ เช่น STEC, CK และ UNIQ รวมถึง SEAFCO จากการเข้าเป็น Subcontractor งานฐานราก (คาดสัดส่วน ประมาณ 3-5% ของมูลค่าโครงการ หรือ 23,000-38,000 ล้านบาท) กลุ่มที่อยู่อาศัย จากราคาซื้อขายบน PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และแนวโน้มเงินปันผลที่จ่ายเป็นประจำ คาด Div.Yield สูงประมาณ 6-7% ที่น่าสนใจ เช่น SPALI และ AP เป็นต้น และสุดท้าย กลุ่มที่มีความน่าสนใจเฉพาะตัว จากผลประกอบการที่ฟื้นตัวโดดเด่น และมีโอกาสทำ New High ต่อเนื่อง เช่น CBG และ CPF เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการลงทุนในขณะนี้ ยังคงแนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์ความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านที่จะเข้ามาเป็นตัวแปรด้านการลงทุนในขณะนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และเงินบาทที่แข็งค่า ในขณะที่กลุ่มส่งออก และท่องเที่ยว อาจจะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว