โบรกเกอร์แนะนำหลบขีปนาวุธ ลงทุนหุ้นปันผลสูง - กองทุนอสังหาฯ โครงสร้างพื้นฐาน และ 3 หุ้นปลอดภัยอย่าง PTT - EASTW - PYLON ขณะที่มองเป้า SET สิ้นปีนี้ที่ 1,675 จุด คาดการณ์กำไรบจ.โต 3.9% และติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางใกล้ชิด ส่วนหยวนต้า คงมุมมองบวกต่อทองคำ เป็น Asset Class ที่น่าสนใจทั้งการลงทุนใน Gold Future และกองทุนรวม เช่น K-GOLD
บล.เอเซียพลัส เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ แนะนำการลงทุน โดยให้นักลงทุนหลบความตึงเครียด หรือขีปนาวุธเข้าลงทุนหุ้นปันผลสูง กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่หุ้น Top Picks ชื่นชอบ PTT, PYLON และ EASTW
โดย PTT (FV@B56.00) ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ต้นปีและปรับตัวขึ้นกว่า 4% ตอนเช้าที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานอย่าง PTT อีกทั้งแนวโน้มกำไรน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไรปกติ Q4/62 จะฟื้นตัวขึ้นจาก Q4/62 หนุนหลักจาก PTTEP ที่คาดจะได้ในส่วนของปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นราว 5.7%qoq และคาดหวัง Dividend Yield สูงกว่า 4.4%ต่อปี (จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง) มองเป็นจังหวะทยอยสะสม
PYLON (FV@B 7.35) Sentiment บวกจากการเข้าสู่ช่วงพิจารณางบประมาณปี 2563 วาระ 2 และ 3 ส่วนแนวโน้มกำไรงวด Q4/62 เติบโตโดดเด่น แรงหนุนจากงานรับเหมาเสาเข็มโครงการศูนย์ประชุมสิริกิติ์ และ Bangkok Mall รวมถึงงานคอนโดฯ Ideo พระราม 9 และมีโอกาสขึ้นทำ New High ต่อในงวด Q1/63 ได้แรงหนุนจากโคงการ Mix Use ขนาดใหญ่อย่างสีลมแสควร์เพิ่มเติม ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา สวนทางกับ Earning Momentum พร้อมทั้งยังคาดหวัง Dividend Yield ปีนี้สูงเกิน 5% (จ่ายปันผลปีละครั้ง)
EASTW (FV@B14.00) หุ้นสาธารณูปโภคที่ได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์ภัยแล้งหนักสุดรอบ 40 ปี และในปี 2563 EASTW มีการทยอยปรับขึ้นราคาขายน้ำดิบด้วยสูตรใหม่ บวกกับปริมาณขายน้ำดิบ คาดผลักดันให้กำไรสุทธิปี 2563 กลับมาโตครั้งแรกในรอบ 5 ปี และหากพิจารณาสถิติในอดีต ราคาหุ้น EASTW เทียบกับช่วงภัยแล้ง พบว่าราคาหุ้นมักจะ Outperform ได้ดี อาทิช่วงฤดูแล้งในปี 2558/2559 (พ.ย. 2558 - เม.ย. 2559) และช่วงฤดูแล้งในปี 2561/2562 (พ.ย. 2561 - เม.ย. 2562) EASTW ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7.1% สูงกว่า SET ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.48% เท่านั้น
มอง SET สิ้นปี 1,675 จุด
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASP)ประเมินเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 63 แบบอนุรักษ์นิยม ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ 1,675 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,579 จุด ขณะที่ P/E Ratio ที่ 16.5-17.5 เท่า เมื่อคำนวณกับ EPS ปีนี้ที่ 95.71 บาทต่อหุ้น โดยกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ราว 1.0 ล้านล้านบาท หรือเติบโต 3.9%
"ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยในปีนี้ประกอบไปด้วย ประเด็นสงครามการค้า จากประเทศคู่ค้าอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯกับจีน ซึ่งจะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยให้ชะลอตัว ขณะที่สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน แนะนำให้นักลงทุนต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวในปัจจุบันยังคาดเดาข้อสรุปได้ค่อนข้างยาก" นายเทิดศักดิ์ กล่าว
ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศ ประกอบไปด้วย ความร้อนแรงทางการเมืองที่จะส่งผลต่อความมั่นคงในประเทศและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะเดียวกันปัจจัยอย่างสภาพอากาศในปีนี้มีภัยแล้งที่จะหนักสุดในรอบ 40 ปี ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และการบริโภคประชาชนที่อยู่ในภาคการเกษตรโดยตรง
ขณะที่การชะลอตัวของกระแสเงินทุนต่างชาติ หลังจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีแรงขาย มองว่ามีปัจจัยกดดันทั้งภายในประเทศอย่างเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตน้อยกว่าประเทศอื่น, สถานการณ์การเมืองในประเทศและค่าเงินบาทที่เเข็งค่า ส่งผลให้ความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทยลดลง รวมถึงปัจจัยต่างประเทศอย่างสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน ที่ส่งผลให้กระแสเงินบางส่วนไหลเข้าลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 1/2563 เน้นการลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่น BGRIM, PTT, LH, AP, ROBINS และ CPF
หยวนต้า เชียร์ ลงทุนทองคำ
ส่วนบล.หยวนต้า ระบุว่า สถานการณ์ในตะวันออกกลางเช้านี้ตึงเครียดมากขึ้น หลังอิหร่านเริ่มโจมตีฐานทัพของสหรัฐฯในอิรักเราคงมุมมองระมัดระวังการลงทุน หลังแนะนำให้ลดพอร์ตไปแล้วในวันจันทร์ที่ผ่านมา
การลงทุนช่วงนี้ให้น้ำหนักที่กลุ่มพลังงานเท่านั้น ได้แก่ PTT, PTTEP, PTTGC รวมทั้งชะลอการลงทุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มที่มีรายได้จากตะวันออกกลาง เช่น AOT, BH (รายละเอียดที่เผยแพร่ไปแล้วใน Special Report วันจันทร์ที่ผ่านมา) คงมุมมองบวกต่อทองคำ เป็น Asset Class ที่น่าสนใจทั้งการลงทุนใน Gold Future และกองทุนรวม เช่น K-GOLD