xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโผหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์ตึงเครียด “สหรัฐฯ-อิหร่าน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โบรกเกอร์ประเมินสถานการณ์ความตึงเครียดสหรัฐฯ-อิหร่าน บล.เอเซีย พลัสคาดอาจยืดเยื้อ นักลงทุนอาจเคลื่อนย้ายเม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง หันลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์ PTT, PYLON และ BBL ด้าน บล.กสิกรไทยมองความขัดแย้งประเมินเป็นผลกระทบระยะสั้นจำกัด แต่ระยะยาวน่ากังวล คาดสัปดาห์นี้ SET แกว่งในกรอบ 1,585-1,610 จุด แนะถือ PTTEP, PTTGC และเก็งกำไร STEC

บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า แม้จะมีข่าวดีเรื่องการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ถูกคาดหมายว่าจะมีการลงนามในสัญญาเฟสที่ 1 ในวันที่ 13 หรือ 15 ม.ค. 2563 แต่ประเด็นดังกล่าวน่าจะถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาระดับหนึ่งแล้ว สำหรับประเด็นใหม่ที่เข้ามาและน่าจะมีอิทธิพลเหนือเรื่องของสงครามการค้า ได้แก่สถานการณ์ที่ตึงเครียดและมีโอกาสนำไปสู่การเกิดความรุนแรงมากขึ้นในอนาคตระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน โดยพัฒนาการของเหตุการณ์ล่าสุดถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล

ส่วนผลกระทบในแง่มุมของการลงทุนในภาพใหญ่ ประเมินว่าน่าจะเห็นการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่น พันธบัตร หรือทองคำ เบื้องต้นก็เห็นได้ชัดว่าราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยล่าสุดอยู่สูงกว่า $1,570 ขณะที่ Bond Yield ปรับตัวลดลง โดย Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.779% เทียบกับที่อยู่บริเวณ 1.91% เมื่อปลายปี 2562

ขณะที่ SET Index วันนี้เชื่อว่าจะหนีผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวไม่พ้น และน่าจะเห็นการย่อตัวกลับลงมา สำหรับการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัยให้ความสำคัญต่อ 1) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ตึงเครียดดังกล่าว ชัดเจนที่สุดได้แก่หุ้นในกลุ่มพลังงาน เราได้เลือก PTT ไว้ในพอร์ตการลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว 2) หุ้นในกลุ่ม Soft Commodity ในส่วนของหมู และไก่ ซึ่งราคาปรับตัวขึ้นมา และน่าจะได้แรงหนุนจากสถานการณ์ดังกล่าว เราได้เลือก CPF เข้าไว้ในพอร์ต 3) หุ้น Domestic ที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นต่างๆ และให้ Dividend Yield ที่สูง เรามี LH และ PYLON อยู่ในพอร์ตอยู่แล้ว ด้วยโครงสร้างพอร์ตการลงทุนที่ยังเหมาะสมกับสถานการณ์ ทำให้เรายังคงพอร์ตการลงทุนไว้ตามเดิม Top Pick ยังเลือก PTT, PYLON และ BBL

อย่างไรก็ดี ในทางตรงข้ามสถานการณ์ความตึงเครียดสหรัฐฯ-อิหร่านดังกล่าว ตลาดยังคาดยืดเยื้อ เนื่องจากอิหร่านมีการชักธงแดงขึ้นสู่ยอดเสาหลังคาสุเหร่าครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าจะมีการแก้แค้นให้กับผู้เสียชีวิต ทำให้ตลาดกังวลเหตุการณ์จะบานปลาย และอาจจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2563 ทำให้เห็นเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้น

ด้าน บล.กสิกรไทยเปิดเผยบทวิเคราะห์ "จับตาการเคลื่อนไหวสหรัฐฯ-อิหร่าน" เบื้องต้นเรามีมุมมองอย่างไร โดยประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านเราประเมินผลกระทบระยะสั้นจำกัด (อาจมีการเคลื่อนกำลังพล โจมตีที่ตั้งเป็นสัญลักษณ์ โดยไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม) แต่ระยะยาวน่ากังวล โดยสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านกลับมาตึงเครียดอีกครั้งภายหลังเริ่มเห็นการตอบโต้จากฝั่งอิหร่านหลัง Trump สั่งโจมตีผู้นำ Qassem Soleimani

เบื้องต้นเราประเมินว่าการกระทำครั้งนี้ ส่วนหนึ่ง Trump ต้องการเบนเข็มทำคะแนนเสียงจากจีนไปยังตะวันออกกลาง โดยสิ่งที่ Trump ระบุถึงเป้าหมายโจมตี 52 ฐาน หมายถึงตัวประกันสหรัฐฯ 52 คนที่เคยถูกกักตอนปี 1979 (ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมายาวนาน แต่ถูกหยิบยกมาเป็นข้ออ้าง) อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ไม่น่าที่จะสั่งโจมตีต่อเนื่อง เนื่องจากฝั่งรัสเซียและจีน (ซึ่งลงทุนในตะวันออกกลางสูง) ได้ออกมาเรียกร้อง เบื้องต้นเราแนะดู 2 สัญญาณ อย่างการปิดช่องแคบ Hormuz และการตอบโต้จากฝั่งอิหร่านเพื่อประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นและทิศทางราคาน้ำมันดิบอีกครั้ง (ทุกๆ 1 เหรียญของสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ ส่งผลต่อราคาหุ้น PTTEP ประมาณ 1.5%+/-)

สำหรับปัจจัยในประเทศ ติดตามการโหวต พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ในวันที่ 8-10 ม.ค. เบื้องต้นเราให้น้ำหนักต่อการ "โหวตผ่าน" ในขณะเดียวกันเรากำลังเข้าสู่ช่วงการประมูล 5G และ TESCO เบื้องต้นเราคาดกลุ่ม ICT และค้าปลีกจะ Overhang ซึ่งเราแนะรอดูผลก่อน

สัปดาห์นี้คาด SET แกว่งในกรอบ 1,585-1,610 จุด ยังแนะถือ PTTEP, PTTGC และเก็งกำไร STEC ข้ามการโหวตผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณในสุดสัปดาห์นี้ และสำหรับภาพรายเดือนประเมินว่าราคาน้ำมันดิบที่แกว่ง sideway up จาก OPEC และสถานการณ์ตะวันออกกลางที่มีความอึมครึมแต่ไม่รุนแรงมากกว่านี้ ประกอบกับการกลับมาอัดฉีดสภาพคล่องจาก FED จะช่วยจำกัด downside ของตลาดหุ้นในครั้งนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น