"จีเอ็มไอ เอดจ์" มองเหตุความวุ่นวายระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านดันราคาทองคำพุ่งแตะ 1,626 เหรียญ ขณะที่ราคาน้ำมันอาจพุ่งแตะระดับ 76 เหรียญต่อบาร์เรล จากสภาพคล่องในตลาดการเงินที่ยังล้นและดอกเบี้ยที่ยังไม่มีแนวโน้มขาขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงการลงทุนในปีนี้นอกจากสงครามคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ Brexit
นายณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ กลุ่มสถาบันการเงินจากประเทศอังกฤษ และผู้ก่อตั้ง Creative Investment Academy (CIA) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ กล่าวว่า ผลกระทบจากการที่สหรัฐอเมริกาและอิหร่านออกมาประจันหน้ากันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์สำคัญอย่างทองคำและน้ำมัน โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 6.5% นับจากจุดต่ำสุดในวันที่ 9 ธันวาคม และกำลังจะทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,555 เหรียญ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน หรือกว่าสามเดือนมาแล้ว โดยปัจจัยผลักดันในขณะนั้นคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
“ล่าสุดหลังจากที่สหรัฐฯ ได้เปิดฉากการรบกับอิหร่านจนอาจจะนำไปสู่สงครามที่แท้จริง ได้ดันให้ราคาทองคำพุ่งอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากผ่านระดับ 1,555 เหรียญไปได้ ทองคำจะเข้าสู่ภาวะกระทิงอย่างเต็มตัวในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)”
ภาพระยะสั้น ทองคำเข้าเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) การเปิดตลาดในเช้าวันจันทร์หากราคาไม่สามารถผ่าน 1,555 เหรียญไปได้จะเป็นโอกาสเปิด Short ทำกำไรระยะสั้นในขาลง แต่หากทำกำไรได้แล้วต้องรีบปิดสถานะ เพราะแนวโน้มระยะกลางทองคำน่าจะเป็นขาขึ้นจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง เป้าหมายระะยะกลางของทองคำอยู่ที่ระดับ 1,626 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับราคาไฟโบนาชี 161.8 ในระยะสั้น แต่ถ้าใช้ไฟโบนาชีในระยะยาว ทองคำจะมีเป้าหมายต่อไปที่ 1,737 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับไฟโบนาชี 261.8 และเป้าหมายสุดท้ายคือที่จุดสูงสุดเดิม 1,920 เหรียญ
“อย่างไรก็ตาม ค่อยๆ ดูกันไปตามสถานการณ์ ยังมีอีกปัจจัยสนับสนุน คือการพิมพ์เงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องของธนาคารกลางใหญ่ๆ ของโลก ยังเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยผลักดันราคาทองคำได้เช่นกัน รวมถึงธนาคารกลางประเทศต่างๆ ได้หันมาสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะยังไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ทั้งหมดนี้คือปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ”
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน จากการที่เหตุความวุ่นวายในตะวันออกกลางจะทำให้การผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดทำได้ยากขึ้น โดยปัจจัยทางเทคนิคตอนนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI หากผ่านระดับ 64 เหรียญต่อบาร์เรลไปได้ จะพ้นแนวโน้มไซด์เวย์แล้วพลิกกลับเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัว โดยมีเป้าหมายราคาต่อไปที่ 76 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมตั้งแต่ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกมีแนวโน้มจะชะลอลงตามเศรษฐกิจโลกที่ถูกกดดันด้วยปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ยังคงยืดเยื้อต่อ แม้จะมีการเจรจาระยะแรกจบไปแล้วก็ตาม แต่ยังมีอีกหลายข้อตกลงที่ต้องเจรจาต่อ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีท่าทีจบลงได้ในเวลาอันสั้น ถ้าหากประเด็นเรื่องสงครามเงียบลงไปอาจจะกดดันราคาน้ำมันได้ นอกจากภาวะสงครามแล้ว เศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกยังมีความเสี่ยงอื่นที่นักลงทุนต้องจับตาเช่นกัน
"ความเสี่ยงสำคัญในปี 2563 คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กรณีที่อลิซาเบธ วอเรน จากพรรคเดโมแครต สามารถชนะการเลือกตั้งจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินรวมถึงค่าเงินดอลลาร์ รวมถึงประเด็นเรื่อง Brexit ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ ยังพร้อมเป็นปัจจัยเสี่ยงในการลงทุนในปีนี้"