“ฮาบิแทท กรุ๊ป” เผยแผนปี63เปิดมิกซ์ยูสย่านพัทยานาจอมเทียน 1โครงการจับลูกค้านักลงทุนและอยู่อาศัยมูลค่า4,500ล้านบาท ชี้ตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนปี 63 ยังเติบโตแต่ไม่หวือหวา เหตุอสังหาฯยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และมีแคปปิตอลเกน ขณะที่การลงทุน หุ้น พันธบัตร และกองทุนรวม มีความเสี่ยงสูง จับตาบริษัทรายใหญ่ แห่พัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อลงทุนมากขึ้น พร้อมตอกย้ำกลยุทธ์” ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” ขับเคลื่อนธุรกิจ รับคลื่นตลาดอสังหาฯปีหน้าชะลอตัว ผนึกพันธมิตร ลีสต์ กรุ๊ป ญี่ปุ่น รุกขยายตลาดใหม่สู่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลางและยุโรป ทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง เดินหน้าขยายการลงทุนในพัทยา รองรับการลงทุนในโครงการอีอีซี

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 63 คาดจะไม่เติบโตจากเดิม มองว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะใกล้เคียงกับปี 62 ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตลอด ทำให้กำลังซื้อได้รับผลกระทบต่อเนื่อง อีกทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดกว่าระดับปกติในการปล่อยสินเชื่อ และยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) แม้จะมีปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นตลาด ประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองให้เหลือเพียง 0.01% วันที่ 24 ธ.ค.63 แต่มาตรการที่ออกมาส่งผลบวกเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีโครงการบ้านดีมีดาวน์เข้ามาเสริมในปลายปี แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยที่เข้ามากระทบกำลังซื้อ และปัจจัยลบ อีกหลายตัวจะยังคงอยู่เหมือนเดิม
ทั้งนี้ในแง่จำนวนโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ คาดว่าจะใกล้เคียงกับยอดการเปิดตัวในปี62 โดยโครงการใหม่เปิดที่ออกสู่ตลาดจะเป็นโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม โดยโครงการใหม่ที่ดีเวลลอปเปอร์เลือกเปิด เชื่อว่ามีการคัดกรองมาอย่างดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล โปรดักส์ และราคาที่มีความเหมาะสม เพราะว่ากำลังซื้อในตลาดถึงแม้ยังมีอยู่ แต่มีอยู่ไม่มากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังระมัดระวังในการใช้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งถือเป็นหนี้ผูกพันธ์ในระยะยาว
“อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยยังถือว่าเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละทำเล ถ้ามีทำเลดีและมีราคาที่เหมาะสม แต่หากในบางทำเลก็ยังมีการชะลอตัว จากซัพพลายมีอยู่จำนวนมากจะยังคงซบเซาต่อไป อย่างไรก็ดี ในปี 63 นี้จะเป็นปีที่ดีของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ และมีความต้องการแท้จริงเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้รับประโยชน์ และได้เลือกสินค้าที่ดีมีคุณภาพจากการแข่งที่สูงขึ้นของตลาด”
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุน มองว่าในปี63 ตลาดยังคงเติบโตไปได้ต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่เติบโตสูงเหมือนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะได้ผลตอบแทนทั้งค่าเช่าระยะยาว อีกทั้งส่วนต่างมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น (Capital gain) ซึ่งหากลงทุนในทำเลที่ดี แตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้น พันธบัตร กองทุนรวมที่มีความผันผวน และสามารถมีผลตอบแทนติดลบได้ นักลงทุนจึงนิยมลงทุนในอสังหาฯ เพราะมีความเสี่ยงต่ำ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย หันมาให้ความสนใจลงทุนโครงการอสังหาฯเพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

“อย่างไรคนที่มีเงินสดในมือ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ก็ยังมีความต้องการลงทุนในอสังหาฯเมืองไทยอยู่ ถ้าหากมีการนำเสนอโปรดักส์ที่ตอบโจทย์ มีการรันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ซึ่งในปีหน้านี้เรียกว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์ในการซื้ออสังหาฯเพื่อลงทุน เพราะสามารถต่อรองราคาได้มาก แถมได้รับโปรโมชั่นที่ดี เพราะดีเวลลอปเปอร์เองต้องการผลักดันยอดขาย ในปีหน้าจึงถือเป็นตลาดของผู้ซื้ออยู่เอง และซื้อเพื่อลงทุนจริงๆ “
ทั้งนี้ มองว่าตลาดคอนโดเพื่อการลงทุน ในกรุงเทพฯ ยังถือว่าเป็นตลาดที่มีโอกาสขยายฐานลูกค้าได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้านักลงทุน ที่ ลงทุนในกลุ่ม พันธบัตร ตลาดหุ้น ตลาดเงินตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง ในการลงทุนค่อนข้างสูง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งคุ้นเคยกับการ ลงทุนแบบเช่า มากกว่าการซื้อเพื่อลงทุน โดยในปี 63 บริษัท จึงมีแผนร่วมมือกับ บริษัท อีซีจี-รีเซิร์ช จำกัด จัดสัมมนาให้ความรู้ กลุ่มนักลงทุนดังกล่าว อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มี การจัดสัมมนาให้ความรู้นักลงทุน ซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุนในพัทยา
" ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการจัดสัมมนา ให้ความรู้เกี่ยวกับการซื้อเพื่อลงทุนในกลุ่มนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ร่วมกับ อีซีจีฯ มาแล้ว 1 ครั้ง แต่เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ยังไม่คุ้นชินกับ การลงทุนในรูปแบบ ซื้อเพื่อการลงทุน ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาและตัดสินใจ"

นายชนินทร์ กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 63 ของ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ (Lifestyle Investment) มากขึ้น โดยปีหน้าจะหันมาโฟกัสการลงทุนในพื้นที่พัทยาเป็นหลัก เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางภาคตะวันออก เนื่องจากพัทยาได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ประกอบกับมีกำลังซื้อทั้งจากนักท่องเที่ยวคนไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา โดยคาดว่าพัทยามีการเติบโตอีกมากใน 5 ปีข้างหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากโครงการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและลงทุนในโครงการพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมต่อ 3 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา โครงการขยายสนามบินอู่ตะเภา หรือมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยาย ไประยอง อู่ตะเภา มาบตาพุด ส่งผลให้มีการลงทุนหลั่งไหลเข้ามาในพัทยา ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ต่างประเทศ และภาคเอกชน มากขึ้น
โดยในปีหน้า ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังดำเนินการตามแผนเดิมคือ การเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสอีก 1 โครงการ บนทำเลติดทะเลนาจอมเทียน ประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียมซื้อเพื่อลงทุนและคอนโดมิเนียมซื้อเพื่ออยู่อาศัย และโรงแรมระดับ 5 ดาว มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทฯได้ลงทุนพัฒนาโครงการในพัทยาไปแล้วทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 5,500 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ได้เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมแล้วจำนวน 3 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน, ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์, ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ และเตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 63 คือ บลูเฟียร์ บีดับเบิลยู พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น บาย เบสท์เวสเทิร์น และเบสท์เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา
ส่วนในกรุงเทพฯ ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังเน้นการลงทุนในทำเลซีบีดีอย่าง อโศก พร้อมพงศ์ และทองหล่อ เพราะ “ทำเล” ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนสูงให้กับนักลงทุนทั้งผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า และแคปปิตอลเกน เฉลี่ยที่ 10% ขึ้นไปเมื่อผ่านไป 3-5 ปี อย่างไรก็ดีปีหน้าตลาดในกรุงเทพฯ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะโฟกัสการทำตลาดและการขายใน 2 โครงการที่ได้เปิดตัวล่าสุด คือโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 และวาลเด้น ทองหล่อ 13 โดยทั้ง 2 โครงการเป็น คอนโด ลักชัวรี่โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท
นอกจากนี้ในปี 63 ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังมองหาตลาดใหม่ๆ จากเมื่อก่อนที่เน้นเจาะโดยเฉพาะลูกค้าในตลาดจีน และฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มีสัดส่วน 50% ที่เข้ามาซื้ออสังหาฯในไทย แต่ปัจจุบันทั้งสองตลาดมีการชะลอตัวไปมาก จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งในปีหน้า ฮาบิแทท กรุ๊ป ที่มีการผนึกกับพันธมิตรอย่าง ลิสต์ กรุ๊ป จากญี่ปุ่น จึงจะเข้าไปขยายตลาดใหม่ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลาง และยุโรป เพื่อมาทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง พร้อมทั้งมุ่งตอกย้ำรูปแบบพัฒนาโครงการ ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ มากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่าง ขณะเดียวกัน ก็จะร่วมกับกูรูทางด้านการลงทุน จัดเสวนาให้ความรู้เรื่องการลงทุนให้กับผู้ซื้ออย่างต่อเนื่อง
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 63 คาดจะไม่เติบโตจากเดิม มองว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะใกล้เคียงกับปี 62 ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตลอด ทำให้กำลังซื้อได้รับผลกระทบต่อเนื่อง อีกทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดกว่าระดับปกติในการปล่อยสินเชื่อ และยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) แม้จะมีปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นตลาด ประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองให้เหลือเพียง 0.01% วันที่ 24 ธ.ค.63 แต่มาตรการที่ออกมาส่งผลบวกเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีโครงการบ้านดีมีดาวน์เข้ามาเสริมในปลายปี แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยที่เข้ามากระทบกำลังซื้อ และปัจจัยลบ อีกหลายตัวจะยังคงอยู่เหมือนเดิม
ทั้งนี้ในแง่จำนวนโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ คาดว่าจะใกล้เคียงกับยอดการเปิดตัวในปี62 โดยโครงการใหม่เปิดที่ออกสู่ตลาดจะเป็นโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม โดยโครงการใหม่ที่ดีเวลลอปเปอร์เลือกเปิด เชื่อว่ามีการคัดกรองมาอย่างดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล โปรดักส์ และราคาที่มีความเหมาะสม เพราะว่ากำลังซื้อในตลาดถึงแม้ยังมีอยู่ แต่มีอยู่ไม่มากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังระมัดระวังในการใช้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งถือเป็นหนี้ผูกพันธ์ในระยะยาว
“อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยยังถือว่าเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละทำเล ถ้ามีทำเลดีและมีราคาที่เหมาะสม แต่หากในบางทำเลก็ยังมีการชะลอตัว จากซัพพลายมีอยู่จำนวนมากจะยังคงซบเซาต่อไป อย่างไรก็ดี ในปี 63 นี้จะเป็นปีที่ดีของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ และมีความต้องการแท้จริงเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้รับประโยชน์ และได้เลือกสินค้าที่ดีมีคุณภาพจากการแข่งที่สูงขึ้นของตลาด”
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุน มองว่าในปี63 ตลาดยังคงเติบโตไปได้ต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่เติบโตสูงเหมือนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะได้ผลตอบแทนทั้งค่าเช่าระยะยาว อีกทั้งส่วนต่างมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น (Capital gain) ซึ่งหากลงทุนในทำเลที่ดี แตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้น พันธบัตร กองทุนรวมที่มีความผันผวน และสามารถมีผลตอบแทนติดลบได้ นักลงทุนจึงนิยมลงทุนในอสังหาฯ เพราะมีความเสี่ยงต่ำ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย หันมาให้ความสนใจลงทุนโครงการอสังหาฯเพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น
“อย่างไรคนที่มีเงินสดในมือ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ก็ยังมีความต้องการลงทุนในอสังหาฯเมืองไทยอยู่ ถ้าหากมีการนำเสนอโปรดักส์ที่ตอบโจทย์ มีการรันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ซึ่งในปีหน้านี้เรียกว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์ในการซื้ออสังหาฯเพื่อลงทุน เพราะสามารถต่อรองราคาได้มาก แถมได้รับโปรโมชั่นที่ดี เพราะดีเวลลอปเปอร์เองต้องการผลักดันยอดขาย ในปีหน้าจึงถือเป็นตลาดของผู้ซื้ออยู่เอง และซื้อเพื่อลงทุนจริงๆ “
ทั้งนี้ มองว่าตลาดคอนโดเพื่อการลงทุน ในกรุงเทพฯ ยังถือว่าเป็นตลาดที่มีโอกาสขยายฐานลูกค้าได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้านักลงทุน ที่ ลงทุนในกลุ่ม พันธบัตร ตลาดหุ้น ตลาดเงินตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง ในการลงทุนค่อนข้างสูง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งคุ้นเคยกับการ ลงทุนแบบเช่า มากกว่าการซื้อเพื่อลงทุน โดยในปี 63 บริษัท จึงมีแผนร่วมมือกับ บริษัท อีซีจี-รีเซิร์ช จำกัด จัดสัมมนาให้ความรู้ กลุ่มนักลงทุนดังกล่าว อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มี การจัดสัมมนาให้ความรู้นักลงทุน ซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุนในพัทยา
" ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการจัดสัมมนา ให้ความรู้เกี่ยวกับการซื้อเพื่อลงทุนในกลุ่มนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ร่วมกับ อีซีจีฯ มาแล้ว 1 ครั้ง แต่เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ยังไม่คุ้นชินกับ การลงทุนในรูปแบบ ซื้อเพื่อการลงทุน ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาและตัดสินใจ"
นายชนินทร์ กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 63 ของ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ (Lifestyle Investment) มากขึ้น โดยปีหน้าจะหันมาโฟกัสการลงทุนในพื้นที่พัทยาเป็นหลัก เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางภาคตะวันออก เนื่องจากพัทยาได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ประกอบกับมีกำลังซื้อทั้งจากนักท่องเที่ยวคนไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา โดยคาดว่าพัทยามีการเติบโตอีกมากใน 5 ปีข้างหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากโครงการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและลงทุนในโครงการพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมต่อ 3 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา โครงการขยายสนามบินอู่ตะเภา หรือมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยาย ไประยอง อู่ตะเภา มาบตาพุด ส่งผลให้มีการลงทุนหลั่งไหลเข้ามาในพัทยา ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ต่างประเทศ และภาคเอกชน มากขึ้น
โดยในปีหน้า ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังดำเนินการตามแผนเดิมคือ การเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสอีก 1 โครงการ บนทำเลติดทะเลนาจอมเทียน ประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียมซื้อเพื่อลงทุนและคอนโดมิเนียมซื้อเพื่ออยู่อาศัย และโรงแรมระดับ 5 ดาว มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทฯได้ลงทุนพัฒนาโครงการในพัทยาไปแล้วทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 5,500 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ได้เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมแล้วจำนวน 3 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน, ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์, ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ และเตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 63 คือ บลูเฟียร์ บีดับเบิลยู พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น บาย เบสท์เวสเทิร์น และเบสท์เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา
ส่วนในกรุงเทพฯ ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังเน้นการลงทุนในทำเลซีบีดีอย่าง อโศก พร้อมพงศ์ และทองหล่อ เพราะ “ทำเล” ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนสูงให้กับนักลงทุนทั้งผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า และแคปปิตอลเกน เฉลี่ยที่ 10% ขึ้นไปเมื่อผ่านไป 3-5 ปี อย่างไรก็ดีปีหน้าตลาดในกรุงเทพฯ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะโฟกัสการทำตลาดและการขายใน 2 โครงการที่ได้เปิดตัวล่าสุด คือโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 และวาลเด้น ทองหล่อ 13 โดยทั้ง 2 โครงการเป็น คอนโด ลักชัวรี่โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท
นอกจากนี้ในปี 63 ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังมองหาตลาดใหม่ๆ จากเมื่อก่อนที่เน้นเจาะโดยเฉพาะลูกค้าในตลาดจีน และฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มีสัดส่วน 50% ที่เข้ามาซื้ออสังหาฯในไทย แต่ปัจจุบันทั้งสองตลาดมีการชะลอตัวไปมาก จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งในปีหน้า ฮาบิแทท กรุ๊ป ที่มีการผนึกกับพันธมิตรอย่าง ลิสต์ กรุ๊ป จากญี่ปุ่น จึงจะเข้าไปขยายตลาดใหม่ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลาง และยุโรป เพื่อมาทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง พร้อมทั้งมุ่งตอกย้ำรูปแบบพัฒนาโครงการ ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ มากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่าง ขณะเดียวกัน ก็จะร่วมกับกูรูทางด้านการลงทุน จัดเสวนาให้ความรู้เรื่องการลงทุนให้กับผู้ซื้ออย่างต่อเนื่อง