ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้น SHR ยันหุ้น SHR เป็นหุ้นที่มีการเติบโต (Growth Stock) รายได้และกำไรจากการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกปี 2562 ยังโตต่อเนื่อง พร้อมอัปไซส์จากโรงแรม Crossroads ที่เปิดดำเนินการเต็มปีและหนี้สินที่ลดลง
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกเมื่อวานที่ผ่านมา โดยราคา IPO อยู่ที่ 5.20 บาท แต่หลังจากการซื้อขายได้ไม่นานมากนัก ราคากลับร่วงลงมาปิดตลาดที่ราคา 4.14 บาท ลดลงไป 20% ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลและตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัท
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น SHR เปิดเผยว่า ความกังวลใจของนักลงทุนในเรื่องผลขาดทุนสุทธิของบริษัท จึงเทขายหุ้น SHR ที่เป็นหุ้นโรงแรมน้องใหม่ที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรกเมื่อวานนี้ จนทำให้ราคาหุ้น SHR ต่ำกว่าราคาพื้นฐานไปมาก สภาพตลาดประกอบกับภาวะการซื้อขายที่ค่อนข้างอ่อนตัวของหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มโรงแรม
“ราคา IPO ที่ 5.20 บาท ของ SHR คือราคาในระดับ Book Value และเป็นราคาที่เหมาะสม กล่าวคือ นักลงทุนเข้าลงทุนในโครงการต่างๆ ของบริษัท ในราคาเดียวกับบริษัท ซึ่งยังมีอัปไซส์อีกมาก กล่าวคือ รร.พีพี และโรงแรมกลุ่ม Outrigger มีการบันทึกตามราคาต้นทุนที่บริษัทซื้อกิจการมา ซึ่งที่ผ่านมา รร.พีพี ก็มีราคาห้องพักที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการที่บริษัทฯ ปรับภาพลักษณ์ของรีสอร์ตตั้งแต่ซื้อมาเมื่อปี 2557 แผนในการปรับปรุงโรงแรมใน Outrigger ก็ยังมีอีกมาก และโครงการ Crossroads ก็เป็นการบันทึกต้นทุนที่ราคาก่อสร้าง หากโรงแรมเปิดดำเนินการผู้ถือหุ้นก็จะได้อัปไซส์จากรายได้และกำไรที่โครงการทำมาหาได้ เพราะฉะนั้น downside ในมุมมองปัจจัยพื้นฐานของ SHR จึงน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2562 ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ ซึ่ง Book Value ดังกล่าวยังไม่นับแผนขยายธุรกิจของบริษัทที่พร้อมขยายการเติบโตหลังโครงสร้างเงินทุนแข็งแกร่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งอัปไซส์ที่นักลงทุนควรพิจารณา” นายสุชายกล่าว
หลัง IPO SHR ยังคงสถานะเป็นบริษัทในเครือของสิงห์ เอสเตท โดยกลุ่มสิงห์ เอสเตท จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และถือหุ้นใน SHR รวม 60% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
ทางด้าน นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ ยืนยันว่า S จะถือหุ้น 60% ใน SHR และไม่มีแผนจะขายออกมาอย่างแน่นอน
“SHR ยังคงเป็นกลจักรสำคัญในธุรกิจโรงแรมของกลุ่มสิงห์ เอสเตท ในการทำรายได้และกำไรประเภท recurring income หรือรายได้และกำไรแบบต่อเนื่องคล้ายกับการเก็บค่าเช่า ซึ่งตรงกับนโยบายของ S ที่ต้องการสร้างความสมดุลระหว่างรายได้แบบต่อเนื่องจากธุรกิจโรงแรมและสำนักงานให้เช่า และรายได้แบบ non-recurring income จากธุรกิจบ้านพักอาศัยที่ต้องมีการขายเป็นโครงการๆ ไป เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อมั่นว่า S ยังคงถือหุ้นและสนับสนุน SHR ต่อไปแน่นอน”
เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา SHR ได้แจ้งผลประกอบการในรอบ 9 เดือน ปี 2562 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยบริษัทมีรายได้ในช่วง 9 เดือนอยู่ที่ 2,639 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 66% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และ EBITDA ในงวด 9 เดือน ปี 2562 อยู่ที่ 783 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 9% เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้เต็ม 9 เดือนของโรงแรม 6 แห่งในกลุ่ม Outrigger และการรับรู้รายได้บางส่วนของโรงแรม 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS ที่บริษัทฯ เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่เพราะค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทขาดทุนสุทธิ 299.9 ล้านบาท ในรอบ 9 เดือน ปี 2562
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัทเอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการของ SHR เป็นไปตามเป้าที่บริษัทฯ วางไว้ ทั้งในส่วนของโรงแรม 8 แห่งที่สร้างรายได้และกำไรอยู่แล้ว และโรงแรม 2 แห่งใน Crossroads ที่เปิดดำเนินการเดือนแรก โดยบริษัทฯ ยังมีการเติบโตของรายได้และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา โดยมีค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นประจำและเกิดขึ้นในปีนี้เพียงปีเดียวกว่า 260 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายก่อนเปิดโรงแรม 2 แห่งในโครงการ Crossroads และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ประกอบกับในงวด 9 เดือน 2562 บริษัทฯ ยังมีภาระต้นทุนทางการเงินที่กู้ยืมจากธนาคารมากกว่า 150 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อโรงแรม Outrigger ซึ่งเงินกู้ดังกล่าวบริษัทได้ชำระคืนแล้วในวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ต้นทุนทางการเงินส่วนนี้ในปีหน้าไม่มีแน่นอน ซึ่งหากพิจารณาหัก 2 ปัจจัยนี้จากผลขาดทุนสุทธิของบริษัทจะพบว่ากลุ่มโรงแรมของบริษัทฯ ยังคงสร้างรายได้และกำไรหลักจากการประกอบธุรกิจ (Core Profit) ดังนั้น บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าหลังจากการปรับโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม และโครงการ Crossroads เปิดดำเนินการเต็มปีในปีหน้า บริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้และกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่องได้แน่นอน”