เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เทรดวันแรกปิดที่ 4.14 บาท ลดลง 1.06 บาท คิดเป็น 20.38 % จากราคาไอพีโอที่กำหนดขายหุ้นละ 5.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2,011.96 ล้านบาท โบรกฯมองSHR อยู่ในช่วงการเติบโตจากการขยายกิจการ ทำให้ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นในช่วงแรกก่อนที่ผลประกอบการจะตามมาในอนาคต ผู้บริหารนำเงินไปใช้ขยายงานตามแผน
วันนี้ หุ้นของ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เข้าซื้อขายเป็นวันแรก โดยเมื่อเปิดตลาด
ราคาหุ้นอยู่ที่ 5 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อไอพีโอที่กำหนดไว้หุ้นละ 5.20 บาท ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 5 บาท ต่ำสุดที่ 4.14 บาท เมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 4.14 บาท ลดลง 1.06 บาท คิดเป็น 20.38 % มูลค่าซื้อขาย 2,011.96 ล้านบาท
บล.โกลเบล็ก ประเมินในบทวิเคราะห์ว่า SHR ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัท (Holding Company) ซึ่งประกอบธุรกิจหลักด้านการลงทุนและบริหารงานโรงแรมและรีสอร์ทระดับบนและระดับลักซ์ชัวรี่ ในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมระดับโลก โรงแรมแห่งแรก คือโรงแรมสันติบุรี เริ่มดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2533 ปัจจุบัน มีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 4,647 ห้อง จาก
โรงแรมและรีสอร์ท 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ คือไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเชียส และ สหราชอาณาจักร ภายใต้การบริหารจัดการทั้งในรูปแบบการบริหารจัดการเอง และภายใต้แบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียง อาทิ Hilton Hardrock และ Outrigger โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของแต่ละโรงแรม ณ 30 มิถุนายน 2562 อยู่ที่ 76%-79%
ขณะผลงานงวด 9 เดือน ผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 299 ล้านบาท ลดลง 164.6% EBITDA 783 ล้านบาท หรือลดลง
29.7% ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน 262 ล้านบาท หรือลดลง 9.9%
บล.ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมเบื้องต้นของ SHR ที่ 5.60 – 6.70 บาท โดยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow หรือ DCF) เนื่องจากรายได้ของบริษัทเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นสม่ำเสมอ (Recurring income) จากธุรกิจโรงแรมและบริการและรายได้จากการรับบริหารโรงแรม โดยใช้ WACC ที่ 7.5 – 8.5% เนื่องจาก SHR ยังอยู่ในช่วงของการเติบโตจากการขยายกิจการทำให้ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นในช่วงแรกก่อนที่ผลประกอบการจะตามมาในอนาคต
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน SHR เปิดเผยว่า ภายหลังการเข้าระดมทุนในตลาดฯ บริษัท
จะนำเงินไปชำระคืนเงินกู้ให้กับสถาบันการเงินที่ปัจจุบันมีเงินกู้กับสถาบันการเงินประมาณ 12,000 ล้านบาท และ รองรับการขยายธุรกิจ เช่น การเข้าซื้อกิจการทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ เพื่อขยายโรงแรมเพิ่มเป็น 80 แห่ง ภายในปี 2568 จากปัจจุบัน 39 แห่ง
“ เงินกู้แบงก์มีอยู่ประมาณ 12,000 ล้านบาท หลัง IPO จะจ่ายคืน 5,400 ล้านบาท ที่เหลืออีกประมาณ 7,000 ล้านบาท จะนำ
กำไรจากการดำเนินงานมาชำระคืน ซึ่งจะทำให้หนี้สินต่อทุน หรือ D/E ลดลงเหลือ 0.5 เท่า จากปัจจุบัน 1.1 เท่า อีกส่วนหนึ่งเราไว้รองรับการขยายธุรกิจ เช่น การซื้อกิจการ หรือ ร่วมทุน โดยจะเน้นขนาดโรงแรมที่มีจำนวนห้อง 150-300 ห้อง ซึ่งงบลงทุนในการขยายธุรกิจ และ ซื้อกิจการเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 5,000-7,000 ล้านบาท” นายชัยรัตน์กล่าว