เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เดินหน้าแผนขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทุ่ม 5,000-7,000 ล้านต่อปี ปักหมุดแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ ปั้นโรงแรม 80 แห่งทั่วโลก หนุนเป้าหมายการเติบโตอีกเท่าตัว ภายในปี ’68 เชื่อมั่นแพลทฟอร์มหลากหลาย นำเสนอที่พักหรูหราราคาจับต้องได้ รองรับไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ ก้าวสู่ผู้บริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมภาคบริการที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ธุรกิจโรงแรม จึงเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่อง หรือ recurring income ให้กับ สิงห์ เอสเตท โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า SHR มีแผนการลงทุนในธุรกิจโรงทั้งในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยและต่างประเทศ ภายใต้งบประมาณการลงทุนปีละ 5,000-7,000 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายในการก้าวสู่ผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ (Premier Hotel Investment & Resort Management Company) รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน SHR ประกอบกิจการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ จำนวน 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ รวม 4,647 ห้อง ประกอบด้วย โรงแรมที่ SHR บริหารจัดการเอง ได้แก่ โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และ โรงแรม สันติบุรี เกาะสมุย ในประเทศไทย, โรงแรม Outrigger 6 แห่งใน 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ และสาธารณรัฐมอริเชียส ที่ SHR บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม หรือ Hotel Management Agreement ภายใต้แบรนด์ Outrigger, โรงแรมในสหราชอาณาจักร จำนวน 29 แห่ง ที่ SHR บริหารจัดการเองผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก ได้แก่ แบรนด์ Mercure และ Holiday Inn ซึ่ง SHR มีสัดส่วนเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าดังกล่าวร้อยละ 50 และ โครงการ CROSSROADS เฟส 1 ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการบนเกาะจำนวน 3 เกาะ ในโครงการ CROSSROADS ตั้งอยู่ ณ Emboodhoo Lagoon ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ โดยปัจจุบันโครงการ CROSSROADS เฟส 1 ได้เปิดให้บริการแล้ว ประกอบด้วยโรงแรม 2 แห่ง คือ SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และ Hard Rock Hotel Maldives ซึ่ง SHR บริหารจัดการเองผ่าน Franchise Agreement รวมถึงศูนย์รวมการให้บริการ เพื่อการพักผ่อนและสิ่งบันเทิง ภายใต้โครงการ The Marina@CROSSROADS และยังมีเกาะที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโรงแรมอีก 1 เกาะ
ล่าสุด SHR ได้เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,437,456,000 หุ้น ในราคา 5.20 บาทต่อหุ้น เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ระดมทุนได้ 7,457 ล้านบาทตามที่คาดไว้ หุ้น SHR จะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรกในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562
หลังจากการระดมทุน SHR มีแผนการขยายธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตอีกเท่าตัว ในปี 2568 คิดเป็นจำนวนห้องพัก 8,000-9,000 ห้อง โดย SHR เล็งเห็นถึงศักยภาพในการลงทุนในแหล่งท่องเที่ยวทั่วโลก ทั้งในประเทศไทย เอเชีย ยุโรป มหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งประเทศแถบแอฟริกา ทั้งนี้ได้วางแผนการใช้งบประมาณในกิจการใหม่ 5,000-7,000 ล้านบาทต่อปี โดยมุ่งเน้นโรงแรมที่มีความหรูหรา สะดวกสบาย มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ ในราคาจับต้องได้ (Affordable Luxury) ขนาด 150-700 ห้อง ในระดับ 3-4.5 ดาว
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า นักลงทุนยังให้ความสนใจและเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี อีกทั้ง SHR ยังมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งการบริหารจัดการเองทั้งหมด ตลอดจนการบริหารจัดการผ่านแบรนด์และแฟรนไชส์ ที่สามารถสร้างการเติบโตได้แบบไม่มีข้อจำกัด นอกจากนั้น พอร์ทเดิมของบริษัทยังมีความแข็งแกร่ง ด้วยโรงแรมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ขณะที่รูปแบบของโรงแรมในแต่ละแห่งยังมีความหลากหลาย เช่น โครงการ CROSSROADS ในมัลดีฟส์ ภายใต้แบรนด์ SAii และ Hard Rock ซึ่งมีสไตล์แตกต่างจากโรงแรมระดับ 6 ดาวในมัลดีฟส์ โดยยังคงให้ความสำคัญกับความหรูหรา สะดวกสบาย มีความเป็นไลฟ์สไตล์ ในราคาจับต้องได้ง่ายขึ้น
สำหรับภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวในปัจจุบันยังคงมีการเติบโตที่ดี โดยอัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยของโรงแรมในประเทศ ทั้ง พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และ สันติบุรี เกาะสมุย อยู่ที่ 75-80% ขณะที่โรงแรมในต่างประเทศอย่าง Outrigger มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยมากกว่า 80% และแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การท่องเที่ยวยังคงเป็นไลฟ์สไตล์ที่กลุ่มลูกค้าผู้มีกำลังซื้อยังคงให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มคนยุคใหม่ (Millennials) ที่เลือกใช้เงินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง ปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ไม่จำกัดอายุ มีการเลือกสรรที่พักที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ โดยไม่เน้นความหรูหราแบบโรงแรม 5-6 ดาว
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ด้วยรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย พร้อมศักยภาพอันโดดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่ SHR เลือกเข้าไปลงทุน จะเป็นปัจจัยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ด้านบริการ ทำให้เชื่อมั่นว่า ประเทศไทยยังคงเป็นเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยว ก่อให้เกิดการกลับมาใช้บริการซ้ำ แผนการลงทุนในอนาคต จึงให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 25-30% จากการขยายธุรกิจโรงแรมทั่วโลก
ทั้งนี้ หลังจากการทำ IPO แล้ว SHR ยังคงสถานะเป็นบริษัทย่อยของ สิงห์ เอสเตท และ สิงห์ เอสเตท จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และถือหุ้น 58.8% ใน SHR ขณะเดียวกันการเติบโตของ SHR จะสามารถนำพา สิงห์ เอสเตท สู่เป้าหมายการเป็นโกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี ได้อย่างสมบูรณ์ในอนาคต