“ที่ปรึกษาทางการเงินแจง SHR โอกาสเป็นหุ้นเติบโตสูงในระยะยาวที่มีจุดแข็งหลายด้าน ชี้ครึ่งปีแรกยังไม่มีกำไรเพราะมีเหตุระบุค่าใช้จ่ายมาก ตั้งแต่ผลจากซื้อกิจการและค่าใช้จ่าย IPO จึงต้องใช้เกณฑ์มาร์เก็ตแคป”
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR กล่าวว่า SHR อยู่ระหว่างการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,437,456,000 หุ้น ที่ราคา 5.20 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 5 บาท ตั้งแต่วันที่ 1-5 พ.ย. 2562 นี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 12 พ.ย. นี้ ด้วยเกณฑ์มาร์เก็ตแคป
สำหรับเหตุผลที่ SHR ต้องเสนอขายหุ้นไอพีโอและเข้าจดทะเบียนใน SET ด้วยเกณฑ์มาร์เก็ตแคป เป็นเพราะครึ่งปีแรกของปี 2562 ผลประกอบการบริษัทฯ ยังไม่มีกำไร โดยเกิดจาก 3 เหตุผลหลัก และที่สำคัญจะเกิดเพียงแต่ครั้งเดียว โดยจะไม่ปรากฎต่อไปภายหลังการเข้าจดทะเบียนใน SET แล้ว คือ 1. ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเปิดโครงการใหม่ 2. ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และ 3. ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น (Bridge Loan) ที่เกิดจากการเข้าซื้อกิจการของ Outrigger
“ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา (2559-2561) ต้องถือว่า SHR มีการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิที่สูงต่อเนื่องมาโดยตลอด โดย 3 ปี รายได้และกำไรเติบโตกว่า 166.1% และ 135.5% ตามลำดับ หรือ มีรายได้รวมเติบโตเฉลี่ย 63.1% ต่อปี คือ ปี 2559 มีรายได้รวม 968.0 ล้านบาท ปี 2560 รายได้รวมอยู่ที่ 1,074.0 ล้านบาท และปี 2561 รายได้รวม 2,575.7 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งนั่นเป็นผลจากช่วงเวลาดังกล่าว SHR มีการซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง
แต่ผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ยังไม่มีกำไร เพราะ SHR มีรายจ่ายที่เกิดจากต้องดำเนินการทั้งจากการขยายธุรกิจเพื่อซื้อกิจการของ Outrigger และการเปิดโครงการใหม่ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) อยู่ที่ 1.1 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่ยังต่ำกว่านโยบายของบริษัทฯ ที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 1.5 เท่า และที่สำคัญ ภายหลังการระดมทุนจากการขายไอพีโอแล้ว อัตราส่วน IBD/E ดังกล่าวของบริษัทฯ จะลดลงเหลือเพียง 0.5 เท่า ซึ่งถือว่าลดลงอย่างมากและอยู่ต่ำกว่านโยบายของบริษัทฯ ที่กำหนดไว้ ขณะที่มองว่า ราคาหุ้น IPO อยู่ที่ 5.20 บาท ซึ่งเท่ากับราคามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share) ซึ่งแปลว่านักลงทุนมีโอกาสเข้าลงทุนในราคาเดียวกันกับบริษัทฯ” นายรวินทร์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ต้องถือว่า SHR ยังมีโอกาสในการเติบโตและมีจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจในอนาคตอีกมาก ตั้งแต่การเป็นมีสถานะเป็นโฮลดิ้ง เมื่อเห็นศักยภาพของสินทรัพย์หรือโรงแรมต่างๆ ทำให้มีความคล่องตัวในการที่จะไปซื้อกิจการเพิ่มเติมในอนาคต แม้ปัจจุบันจะมีโรงแรมที่ครอบคลุมการท่องเที่ยวมากถึง 5 ประเทศ แล้ว ในขณะเดียวกัน SHR ยังเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มสิงห์ เอสเตท (S) ที่แม้หลังการเสนอขาย IPO ไปแล้ว S ยังถือหุ้นใน SHR ที่ระดับ 60% ซึ่ง S ถือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ และมีกลุ่มบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่เป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการหาโอกาสเพื่อดำเนินธุรกิจที่จะสามารถเติบโตอนาคตและมีนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ทางด้าน นายพรชัย ปัทมินทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินร่วม ของบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR กล่าวว่า SHR เป็นหุ้นที่ยังมีโอกาสเติบโตในอนาคตอีกมาก (Growth Stock) เพราะบริษัทฯ จะเริ่มทยอยรับรู้ผลจากการที่มีการซื้อกิจการมาก่อนหน้านี้ รวมทั้งการรับรู้ผลประกอบการจากโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดทำการและเพิ่งเริ่มสร้างรายได้ คือโครงการ Crossroads เฟส 1 ในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังสาธารณรัฐมัลดีฟส์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หรือคิดเป็นอัตราเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 7.1% ตั้งแต่ช่วงระยะเวลาปี 2544 – 2561 ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงโครงการอื่นที่อยู่ในแผนการซื้อกิจการ ซึ่งปี 2562 SHR เป็นเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ท 39 แห่ง มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 4,647 ห้อง และภายในปี 2568 SHR เป็นเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทเพิ่มเป็นกว่า 80 แห่ง หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15 % ต่อปี
อย่างไรก็ตาม นอกจากที่ SHR มีความหลากหลายของสินทรัพย์และทำเลที่ตั้ง เพราะปัจจุบันมีการลงทุนและพัฒนาโครงการประเภทรีสอร์ทตามแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกที่สำคัญทั้งหมดจาก 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเชียส และสหราชอาณาจักร ซึ่งทุกประเทศดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลก ยังถือว่ามีโรงแรมและรีสอร์ทที่บริการลูกค้าที่ครบทุกกลุ่ม ตั้งแต่ระดับกลาง และระดับกลางค่อนไปทางบน
สำหรับตลาดการท่องเที่ยว SHR ยังเน้นไปที่กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experiential Traveling) ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตที่สุด โดยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดถึง 8.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 255 ล้านล้านบาทภายในปี 2571 อีกทั้งยังมองว่า SHR ยังเป็นหุ้น Semi-defensive ที่มีความผันผวนน้อย เนื่องจากเป็นตลาดที่ไม่มีความผันผวนตามสภาพเศรษฐกิจมากเหมือนโรงแรมในเมือง และไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า (Trade War) โดยตรง
นอกจากนั้น ช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา SHR เป็นบริษัทในธุรกิจโรงแรมที่มีอัตราเติบโตของรายได้และจำนวนห้องสูงสุด เมื่อเทียบกับบริษัทคู่แข่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในธุรกิจประเภทเดียวกัน โดยบริษัทฯ มีการเติบโตจากทั้งทรัพย์สินของบริษัทฯ เอง (Organic Growth) และจากการเข้าซื้อกิจการ (Merger and Acquisition)
ขณะที่เบื้องต้น มีนักลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ได้จองสิทธิซื้อหุ้น IPO รวมทั้งสิ้น 185,000,000 หุ้น แบ่งเป็น บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด130,000,000 ล้านหุ้น และบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) 55,000,000 ล้านหุ้น
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน SHR กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุน IPO จะถูกนำไปใช้ในการขยายธุรกิจโรงแรมและลงทุนในการพัฒนาโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเงินที่ระดมทุนมานั้น จะนำไปชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกิจการทั่วไป ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโครงการและค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าวว่า การนำ SHR ซึ่งเป็นธุรกิจโรงแรม เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สำเร็จ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับ สิงห์ เอสเตท และตอกย้ำเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็น โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี (Global Holding Company) ในปี 2563 ได้อย่างสมบูรณ์ โดยสิงห์ เอสเตท ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก (Commercial & Retail) ธุรกิจโรงแรม (Hospitality) และธุรกิจที่พักอาศัย (Residential Development)
ทั้งนี้ SHR ถือเป็นธุรกิจที่สามของ สิงห์ เอสเตท ที่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากธุรกิจที่พักอาศัย ที่ได้นำบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทแรก ตามด้วยกองทรัสต์ SPRIME สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน เมื่อต้นปี 2562 ที่ผ่านมา