53 ปี ธ.ก.ส. ชูนโยบาย Go Green เพื่อเกษตรยั่งยืน ผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผลักดันการผลิตอาหารปลอดภัยและการทำเกษตรอินทรีย์แล้ว 4,837 ราย พื้นที่กว่า 22,000 ไร่ หนุนสร้างธุรกิจชุมชน 928 ชุมชนภายในสิ้นปีนี้ หวังใช้เป็นหัวขบวนในการสร้างอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืน นำสินค้าเกษตรกว่า 1,700 รายการเปิดขายในตลาดออนไลน์ A-Farm Mart
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวในโอกาสครบรอบปีที่ 53 ว่า ธ.ก.ส. มุ่งสานต่อนโยบาย Go Green ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปีบัญชี 2562 โดยส่งเสริมการผลิตอาหารปลอดภัยและการทำเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่การปลูกสู่การแปรรูป และการจำหน่าย การเพิ่มช่องทางการตลาด รวมทั้งผลักดันให้สินค้าเกษตรได้รับมาตรฐานรับรอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค โดยปัจจุบันมีเกษตรกรที่ทำการผลิตเกษตรปลอดภัย (GAP) จำนวน 774 ราย พื้นที่ 3,649 ไร่ เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองการผลิตแบบมีส่วนร่วม (PGS) จำนวน 2,569 ราย พื้นที่ 12,804 ไร่ และเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand หรือ IFOAM และมาตรฐานอื่น ๆ จำนวน 1,494 ราย พื้นที่ 5,736 ไร่ รวมการทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัยทั้งสิ้น จำนวน 4,837 ราย พื้นที่ 22,189 ไร่
ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อส่งผลผลิตให้กับ Modern Trade โดยมีแผนเชื่อมโยงชุมชน 9 แห่ง ในการผลิต และมีการนำร่องโครงการ 459 บ้านไร่ ตำบลบ้านไร่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมถึงสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) ร้อยเอ็ด จำกัด ที่สนับสนุนเกษตรกรปลูกข้าวหอมมะลิ GAP และอินทรีย์ โดยเชื่อมโยงกับโครงการเกษตรแปลงใหญ่ ซึ่งมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจำนวน 352 ราย พื้นที่ 7,136 ไร่ โดย สกต. รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรมาแปรรูปเป็นข้าวสาร A-Rice เพื่อจำหน่าย ขณะเดียวกันธ.ก.ส.ได้มอบหมายให้ ธ.ก.ส.ทุกจังหวัดดำเนินโครงการ Projected Based เพื่อสนับสนุนเกษตรอินทรีย์จำนวน 78 โครงการ พื้นที่การเกษตร 126,441 ไร่ พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดย ธ.ก.ส. ได้กำหนดเครื่องหมาย A-Green เพื่อแสดงถึงผลผลิตที่ ธ.ก.ส.ให้การสนับสนุนแก่เกษตรกร ชุมชน ทั้งด้านการผลิต การตลาดและสินเชื่อ
นายอภิรมย์ ยังกล่าวถึงด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมนั้น ธ.ก.ส. ได้ดำเนินการยกระดับธนาคารต้นไม้ จำนวน 6,836 ชุมชน สู่ชุมชนไม้มีค่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าแล้วกว่า 1,974 ชุมชน และร่วมโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme) หรือ LESS โดยปัจจุบันมีชุมชมเข้าร่วมแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ บ้านท่าลี่ จังหวัดขอนแก่น บ้านถ้ำเสือ จังหวัดเพชรบุรี บ้านนาซำจวง จังหวัดหนองบัวลำภู และบ้านศรีเจริญ จังหวัดพิษณุโลก คิดเป็นจำนวนที่กักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 150,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ยังมีความพร้อมในการขับเคลื่อนแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลไปสู่เกษตรกรผ่านโครงการประกันรายได้พืชเศรษฐกิจหลัก 5 ชนิด คือ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด รวมถึงมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ที่จะช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่เกษตรกร โดยปัจจุบัน ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากไปแล้วกว่า 34,600 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ในอัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ วงเงิน 24,810 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 4.31 ล้านครัวเรือน ดำเนินการโอนเงินแล้ว จำนวน 3.99 ล้านครัวเรือน เป็นเงิน 23,929 ล้านบาท
โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562-2563 วงเงิน 13,000 ล้านบาทเป้าหมายเกษตรกร 263,107 ครัวเรือน ดำเนินการโอนเงิน รอบที่ 1 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ไปแล้ว 254,667 ครัวเรือน เป็นเงิน 1,351 ล้านบาท โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2562/63 วงเงิน 20,940 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 4.31 ล้านราย มีเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้องได้รับเงินในรอบที่ 1 ทั้งสิ้น 349,300 ครัวเรือน โดย ธ.ก.ส. โอนเงินเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ไปแล้วกว่า 9,411 ล้านบาท และโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 ซึ่งมีเป้าหมายเกษตรกรชาวสวนยาง ทั้งเจ้าของสวนและคนกรีดยางรวมกว่า จำนวน 1.7 ล้านราย ที่ขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลการปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย โดยเป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณกว่า 23,472 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินการโอนเงินได้ในวันที่ 1 พ.ย. 62