บิ๊ก QH ระบุตลาดคอนโดฯ เจอมรสุมราคาแพง กำลังซื้อตามไม่ทันแถมบางทำเลเกิดโอเวอร์ซัปพลายต้องใช้เวลาดูดซับไม่น้อยกว่า 2 ปี พร้อมเผยปีนี้ชะลอเปิดคอนโดฯเหตุยังไม่ผ่าน EIA ส่งผลปีนี้เปิดใหม่ 13 โครงการ มูลค่าหมื่นล้าน
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังมีแนวโน้มค่อนข้างดี โดยเฉพาะตลาดบ้านแนวราบ ซึ่งยังมีความต้องการอยู่มาก ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมยังมีปัญหาสินค้าล้นตลาดในบางทำเล ซึ่งเป็นทำเลเดิมๆ ที่เคยล้นตลาดมาก่อนหน้านี้ อาทิ สายสีม่วง ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดูดซับอีกไม่น้อยกว่า 2 ปี
นอกจากนี้ ตลาดคอนโดฯ ยังมีปัญหาราคาขายที่เพิ่มขึ้นสูงมากจนกำลังซื้อตามไม่ทัน ปัญหาใหญ่มาจากราคาที่ดินในเมืองปรับขึ้นสูง ทำให้เริ่มเห็นการซื้อคอนโดฯ ในย่านสุขุมวิทเริ่มลดลง และมีความต้องการซื้อคอนโดฯ ราคาสูงน้อยกว่าซัปพลายที่ออกมา ทำให้อาจจะเกินภาวะสินค้าล้นตลาดในทำเลสุขุมวิทได้ โดยที่มองว่า ราคาคอนโดมิเนียมที่ยังมีความต้องการซื้อที่มากอยู่จะต้องไม่เกิน 5 ล้านบาท
จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้บริษัทชะลอแผนลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในปีนี้ออกไป ส่งผลให้แผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ลดลงจากเดิมในช่วงต้นปีตั้งเป้าเปิดขายโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท ลดเหลือ 12-13 โครงการ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยจะเลื่อนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีหลังออกไป 2 โครงการ ได้แก่ คอนโดฯ โลว์ไรส์ใน ซ.ลาดพร้าว เนื่องจากการขออนุญาตวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ยังไม่แล้วเสร็จ คาดว่าจะเลื่อนไปเปิดในปี 62 และเลื่อนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม ย่านเจริญนคร ที่วางแผนจะเปิดในช่วงไตรมาส 4/61 โดยอยู่ระหว่างการทบทวน และชะลอแผนการการพัฒนาโครงการดังกล่าวไปก่อน เนื่องจากมีปัญหาในการขอ EIA เพราะที่ดินข้างๆ ของโครงการเป็นตึกสูงเช่นเดียวกัน
สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 7-8 โครงการ โดยเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และมีโครงการในต่างจังหวัดที่จะเปิดในเชียงใหม่ 1
ขณะที่โครงการ Q นานา หลังจากที่เปิดขายให้กับลูกค้าบางส่วนไปแล้วตั้งแต่ปี 58 โดยที่มียอดขายเพียง 28% และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/61 ซึ่งเป็นช่วงที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยราคาขายยังอยู่ที่ 300,000 บาทต่อตารางเมตร
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่า ยอดขายทั้งปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายคือเติบโต 10% หรือมียอดขายที่ 15,500 ล้านบาท แม้ว่าจะมียอดเปิดโครงการใหม่ลดลงก็ตาม ส่วนในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทจะเปิดให้บริการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เซ็นเตอร์พอยต์ พัทยา ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการเช่าเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมั่นใจว่า กำไรสุทธิในปี 61 จะเติบโตได้ราว 10% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.46 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายของบริษัทที่เน้นการเติบโตของกำไรสุทธิเป็นหลัก โดยที่บริษัทหันมาเน้นการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การบริหารจัดการต้นทุนการขาย และบริหาร (SG&A) ที่ปัจจุบันปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.19% ซึ่งลดลงมาต่อเนื่องจากปี 59 ที่อยู่ที่ 2.04% จากการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในการนำข้อมูลมาตัดสินใจลงทุนโครงการต่างๆ และการใช้สื่ออนไลน์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้น อีกทั้งยังมีการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างให้เหมาะสม ทำให้สามารถได้มาร์จินที่สูง ประกอบกับการลดภาระดอกเบี้ยให้ลดลง โดยการทยอยชำระหนี้ให้มีหนี้เหลือน้อยลง ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงเหลือ 1.3% ในปัจจุบันจากสิ้นปีก่อนที่ 1.8-1.9%
“QH หันมาเน้น Bottom Line เป็นหลัก มากกว่ายอดขาย เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญมาก เพราะหากยอดขายเยอะ แต่ทำกำไรไม่ได้ ก็แสดงว่า การดำเนินธุรกิจไม่มีประสิทธิภาพ” นายชัชชาติ กล่าว