“เรียลแอสเสท” แจงครึ่งปีแรกรายได้ 1,021ล้านบาท หลังทยอยโอน เดอะ สเตจ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ เผยครึ่งปีหลังเปิดตัว 2 โครงการใหม่ย่านทองหล่อ-สายไหม มูลค่ารวม 4,843 ล้านบาท ล่าสุดเดินหน้าต่อยอด Luxury คอนโด ผุด “AESTIQ Thonglor” มูลค่า 4,200 ล้านบาท บนทำเลทองหล่อ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทย และต่างชาติ มั่นใจลูกค้าตอบรับดีเหตุซัปพลายในพื้นที่น้อยอัตราระบายออก-ดีมานด์สูง
นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 61 บริษัทมีรายได้รับรู้เข้ามาแล้วกว่า 1,021 ล้านบาท คิดเป็น 55% ของเป้ารายได้ทั้งปีที่วางไว้ 1,867 ล้านบาท โดยรายได้หลักในครึ่งปีแรกเกิดจากการรับรู้รายได้จากการโอนห้องชุดในโครงการ เดอะ สเตจ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแบ็กล็อกรอรับรู้รายได้ในมืออีกกว่า 2,600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ และปีหน้า สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่ม 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,843 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม AESTIQ Thonglor มูลค่า 4,200 ล้านบาท และ 2. โครงการเซนต์สายไหม มูลค่า 643 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 30 ไร่
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 61 มีมูลค่าการโอนกว่า 110,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 60 กว่า 40% โดยกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมมีแชร์มากที่สุดกว่า 50% ทาวน์โฮม 30% สะท้อนให้เห็นว่าคอนโดยังขยายตัวดี สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดในย่านสุขุมวิท ในครึ่งปีแรกยังขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการในย่านสุขุมวิทตอนกลาง ซึ่งมีซัปพลายออกมาไม่มากนัก โดยมีซัปพลายออกสู่ตลาด 19,000 ยูนิต สามารถระบายออกไปแล้ว 90% ที่เหลือขายในตลาดเพียงแค่ 10% ขณะที่อัตราการระบายออกของยูนิตในพื้นที่อยู่ที่ 10-15% ต่อเดือน สะท้อนให้เห็นว่าการขยายตัวของดีมานด์ยังดีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ที่ดินในย่านสุขุมวิทตอนกลาง ยังมีจำกัด ทำให้ราคาขายขยับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้โครงการใหม่ๆ ที่จะออกมามีจำนวนไม่มากนัก ล่าสุด บริษัท เตรียมเปิดตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมระดับ Ultimate Luxury มูลค่าโครงการรวม 4,200 ล้านบาท ในทำเลศักยภาพบนถนนทองหล่อ ทำเลพักอาศัยในฝันของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็น Young Successor ทั้งกลุ่มชาวไทย และต่างชาติ โดยมีแผนจะเปิดขายโครงการในช่วงเดือนกันยายนนี้ ณ สำนักงานขายโครงการ
“ลูกค้าเป้าหมายของโครงการเป็นกลุ่มลูกค้านักลงทุนต่างชาติ และคนไทย ซึ่งในกลุ่มคนไทย มีทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และกลุ่มซื้อเพื่อการลงทุน เนื่องจากในทำเลทองหล่อ หาที่ดินในการพัฒนาโครงการได้ยาก การระบายออกของห้องชุดในพื้นที่สูง ขณะที่ดีมานด์ห้องชุดปล่อยเช่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน และอยู่ในอาศัยในไทย”
ทั้งนี้ ในการพัฒนาอสังหาฯ ของบริษัทจะเน้นให้ความสำคัญในทุกๆ ด้าน ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการ และการออกแบบโครงการที่แตกต่างไปจากคู่แข่ง ด้านคุณภาพที่เหนือกว่า การออกแบบที่ใส่ใจทุกรายละเอียด มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น การเลือกวัสดุคุณภาพเกรดพรีเมียม รวมถึงการมีพันธมิตรทีมออกแบบโดยทีมสถาปนิก และบริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศ ทำให้ทุกโครงการที่พัฒนาประสบความสำเร็จ โดยในส่วนโครงการคอนโดนั้น หลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการ ลาวีค สุขุมวิท 57 Luxury คอนโดโครงการแรก มูลค่า4,120 ล้านบาท บริษัทฯ จึงต่อยอดความสำเร็จด้วยการลงทุนพัฒนาตัวโครงการ AESTIQ Thonglor เพื่อสร้าง Iconic Landmark แห่งใหม่บนทำเลทองหล่อ
ด้านนายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ กล่าวว่า AESTIQ Thonglor ถือว่าเป็นคอนโด Ultimate Luxury บนทำเลทองหล่อ ซึ่งออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-3-88.9 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 40 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 203 ยูนิต จอดรถได้ 220 คัน โดยมีราคาเสนอยูนิตเริ่มต้นท่ี 8.99 ล้านบาท หรือ มีราคาเริ่มต้นที่ประมาณตารางเมตรละ 269,000 บาท มีห้องชุดให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33-52 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 64%, แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 76-119 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25%, แบบ 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 131-158 ตารางเมตร จำนวน 18 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10% และห้องเพนต์เฮาส์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 289-297 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 1% โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือนพฤษภาคม 2562 และจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2564
“เราเชื่อมั่นในทำเลที่ตั้ง และคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาโครงการที่แตกต่างจากคู่แข่ง จะสนับสนุนให้โครงการ AESTIQ Thonglor ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเช่นเดิม เพราะเราใส่ใจลงรายละเอียดในการออกแบบอาคารทั้งภายใน และภายนอก เพื่อสะท้อนถึงความเป็นตัวตนที่งดงามแตกต่าง สะท้อนความทันสมัย และรสนิยม นอกจากนี้ ยังเติมเต็มความต้องการในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการเสริมพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ ที่ซื้ออยู่เอง และเพื่อการลงทุนได้อย่างแน่นอน”