ทายาทเนสกาแฟ เดินหน้ารุกธุรกิจอสังหา งัดแลนด์แบงก์ผุดโรงแรม สำนักงาน ใจกลางเมือง หวังขยายพอร์ตรายได้ระยะยาว พร้อมลงทุนคอนโดฯ แบรดน์ เดอะเนสท์ เกาะแนวรถไฟฟ้า ล่าสุดลงทุนโรงแรม 2 แห่งย่านนานา-เพลินจิต ดึงเชน Penta Hotel บริหาร พร้อมเตรียมเปิด เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71 ตั้งเป้ายอดขาย 2,500 ล้านบาทในปี 61
นางอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือบริษัท พี.เอ็ม. กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนไปในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ระยะยาวเพิ่มมากขึ้น อาทิ อาคารสำนักงาน โรงแรม เป็นต้น จากเดิมที่บริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งในเบื้องต้น จะเน้นการนำที่ดินแลนด์แบงก์ของครอบครัว แปลงที่มีศักยภาพอยู่ในทำเลกลางเมืองมาพัฒนา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมทำเลในเมือง หรือเกาะแนวรถไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยรอบสนามกอล์ฟทั้ง 3 สนาม
ล่าสุด บริษัทได้นำที่ดิน 2 แปลง ย่านเพลินจิต และนานา มาพัฒนาโรงแรมในรูปแบบ “ไลฟ์สไตล์ โฮเทล” โดยใช้เชน “Penta Hotel”ซึ่งเป็นหนึ่งในเชนบริหารโรงแรมของ “โรสวูด โฮเทล กรุ๊ป” ได้แก่ ที่ดินบริเวณซอยนายเลิศ ด้านหลังโครงการ” โนเบิล เพลินจิต” บนพื้นที่ 300 ตารางวา พัฒนาเป็นโรงแรม สูง 8 ชั้น ขนาด 150 ห้อง ขนาดห้องประมาณ 24 ตารางเมตร ราคาค่าเช่า 2,000-2,500 บาทต่อคืน ใช้งบในการลงทุน 800 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการขออนุญาตก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2563 ซึ่งเป็นการพัฒนาโดยบริษัทลูก เดอะเนสท์ เพลินจิต จำกัด
ส่วนอีกแปลงตั้งอยู่บริเวณซอยนานา บนพื้นที่ 1 ไร่ครึ่ง เป็นที่ดินสะสมประมาณ 10 ปี ซึ่งจะพัฒนาโรงแรมในรูปแบบเดียวกัน คือ สูง 8 ชั้น จำนวน 250 ห้องพัก ราคาประมาณ 2,000-2,500 บาทต่อคืน มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยจะพัฒนาภายใต้บริษัท เดอะเนสท์ นานา จำกัด ปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบ สำหรับที่ดินทั้ง 2 แปลงซื้อมาในราคาที่ต่ำกว่า 500,000 บาทต่อตารางวา จึงทำให้มีต้นทุนในการพัฒนาถูกลงมาก ซึ่งคาดว่าโรงแรมแต่แห่งจะใช้ระยะเวลาในการถึงจุดคุ้มทุนประมาณ 8 ปี
นางอุษณา กล่าวต่อว่า สำหรับทิศทางการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในช่วง 2 ปีนี้ ยังคงเน้นการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ย่านใจกลางเมือง ตามแนวรถไฟฟ้า ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท อย่างต่อเนื่อง ปีละ 1-2 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าของบริษัท ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองในสัดส่วนที่มากกว่า 50% จากยอดขายปัจจุบัน และอีก 50% ซื้อเพื่อปล่อยเช่าเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทย และต่างชาติ คิดเป็น 70 : 30 และลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์
ในเดือนสิงหาคมนี้ บริษัทจะเปิดตัวโครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท71” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ครึ่ง พัฒนาเป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 5 อาคาร ขนาด 28-40 กว่าตารางเมตร ราคา 2.39-5 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 100,000-110,000 บาทต่อตารางเมตร จำนวน 515 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และในปี 2562 มีแผนที่จะเปิดตัวอีกอย่างน้อย 1 โครงการ มูลค่า 1,500-2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทางครอบครัวยังมีที่ดินย่านใจกลางเมืองอีก 2 แปลง ย่านพระราม 4 เยื้องโครงการ” วัน แบงค็อก” (One Bangkok) จำนวน 5 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นได้ของการลงทุน ซึ่งอาจจะพัฒนาในรูปแบบของโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วยคอนโดฯ และอาคารสำนักงาน ส่วนอีกแปลง อยู่ทำเลสาทร ซอย 1 พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมขนาด 3-4 ชั้นในทำเลรอบสนามกอล์ฟทั้ง 3 แห่งของบริษัทในเครือ ได้แก่ เลควูด คันทรี คลับ, เลควูด และเลควูด ลิงค์ บางนา
ด้านโครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64” เป็นโครงการ โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น มี 3 อาคาร ขนาด 22.7-47 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 2.39 -4.79 ล้านบาท จำนวน 439 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ซึ่งเปิดพรีเซลส์เมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 80% คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ก่อนปลายปีนี้ ด้านการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2562
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 2,500 ล้านบาท จาก 3 โครงการ คือ เดอะเนสท์ เพลินจิต, เดอะเนสท์ สุขุมวิท 22 และเดอะเนสท์ สุขุมวิท 64 โดยปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 1,500 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 1,800-2,000 ล้านบาท