xs
xsm
sm
md
lg

เพอร์เฟคฯ ลุยร่วมทุนญี่ปุ่น ผนึก “เซกิซุย” สร้างบ้านระบบโมดูลาร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


พร็อพเพอร์เพอร์ตี้ เพอร์เฟค จับมือเซกิซุย ชูกลยุทธ์การพัฒนา และยกระดับมาตรฐานของสินค้าให้ไปสู่ระดับสากล ตั้งเป้า 3 ปี เพิ่มส่วนแบ่งบ้านระดับบนเป็นปีละ 4,000 ล้านบาท ล่าสุด ผนึก “เซกิซุย เคมิคอล” ผุดบริษัทร่วมทุน “พีเอฟ-เซกิซุย เจวี” ดึงนวัตกรรมระบบ “โมดูลาร์” พัฒนาที่อยู่อาศัย

นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวว่า บริษัทมีกลยุทธ์ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของสินค้าให้ไปสู่ระดับสากล ซึ่งการพัฒนาโครงการร่วมทุนเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่จะช่วยให้การพัฒนาโครงการของบริษัทมีประสิทธิภาพสูงสุด ล่าสุด บริษัทได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจรับสร้างบ้านในประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท พีเอฟ-เซกิซุย เจวี จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 51% และบริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด ถือหุ้น 49% โดยจะร่วมกันพัฒนาโครงการบ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบโมดูลาร์ ในเฟสต่อเนื่องของโครงการ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีชในเบื้องต้น 4 โครงการ ทำเลกรุงเทพกรีฑา รามคำแหง แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ รวมจำนวน 74 ยูนิต มูลค่ารวม 2,230 ล้านบาท

“การร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศ ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการยกระดับมาตรฐาน และภาพลักษณ์สินค้าไปสู่ระดับสากล ซึ่งบริษัทดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือกับบริษัท เซกิซุย เคมิคอล จำกัด ในครั้งนี้ ทั้งนี้ บ้านระบบโมดูลาร์ของเซกิซุยฯ เป็นนวัตกรรมที่มาจากประเทศญี่ปุ่น ได้รับการยอมรับในเรื่องของเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ก้าวหน้า และยกระดับคุณภาพบ้านได้ตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง จึงมั่นใจในการนำบ้านระบบโมดูลาร์มาเสริมความแข็งแกร่ง และเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้ซื้อบ้านในโครงการ โดยบริษัทยังวางเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำในตลาดบ้านหรูระดับบนภายในระยะ 3 ปีข้างหน้า วางเป้าจะมีส่วนแบ่งในตลาดบ้านระดับบน เพิ่มเป็นปีละ 4,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีอยู่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งการร่วมมือกับเซกิซุยฯ ในครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถพัฒนาโครงการได้เร็วขึ้น เพิ่มส่วนแบ่งในตลาดบ้านกลุ่มพรีเมียม” นายชายนิด กล่าว

สำหรับบ้านระบบโมดูลาร์ของเซกิซุย จะให้ความสำคัญกับคุณภาพของการอยู่อาศัย โดยจะมีการปรับรูปแบบที่สามารถให้เข้ากับความเป็นอยู่ของคนไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนประกอบของบ้านที่จะนำมาประกอบเป็นบ้านระบบโมดูลาร์นั้น ได้ดำเนินการผลิตโดย บริษัท เซกิซุย-เอสซีจี อินดัสทรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง “เซกิซุย เคมิคอล” และ “เอสซีจี” ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยโครงสร้างกว่า 80% ถูกผลิตในโรงงาน ทั้งนี้ จะเป็นการผลิตส่วนประกอบของบ้านแยกเป็นส่วนๆสำเร็จรูป และประกอบชิ้นส่วนของบ้านทั้งหมด และนำมาติดตั้งที่หน้างานต่อไป

นายชายนิด กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่า ผลการดำเนินงานในใตรมาส 3/61 จะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/61 และไตรมาส 3/60 เนื่องจากบริษัทเริ่มมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการมากขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/61 และมีรายได้พิเศษเข้ามาจากการขายที่ดินให้กับบริษัทร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ และบริษัทร่วมทุนกับซูมิโตโม มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นการบันทึกรายได้ในไตรมาส 3/61 จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยที่บริษัทจะได้กำไร 35% ของมูลค่าที่ดินที่ขาย

นอกจากนี้ ในปี 62 บริษัทมีแผนจะขายที่ดินให้กับบริษัทร่วมทุนทั้งสองอีกมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีรายได้จากการขายที่ดินเข้ามาอีก 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 15,000 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ อีก 5,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 4,000 ล้านบาท จากมูลค่า Backlog ทั้งหมดในปัจจุบันที่มี 5,200 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะรับรู้ภายในปี 62

ด้านนายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ กล่าวว่า บริษัทจะเป็นผู้คัดเลือกที่ดินในทำเลที่เหมาะสม ส่วนการออกแบบบ้านเป็นการทำงานร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยมีให้เลือก 4 แบบ ระดับราคา 25-60 ล้านบาท ขนาดตั้งแต่ 255-475 ตารางเมตร เป็นรูปแบบเฉพาะของโครงการของพร๊อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ที่นำเอาประสบการณ์ในการออกแบบบ้านหรูระดับบนมาผสมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยของญี่ปุ่น สำหรับส่วนประกอบของบ้านที่จะนำมาประกอบเป็นบ้านระบบโมดูลาร์ ดำเนินการผลิตโดยบริษัท เซกิซุย-เอสซีจี อินดัสทรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเซกิซุย เคมิคงล และเอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยโครงสร้างกว่า 80% จะถูกผลิตในโรงงาน ซึ่งจะทำการผลิตโดยส่วนประกอบของบ้านแยกเป็นส่วนๆ สำเร็จรูป และประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดจนเรียบร้อย แล้วนำมาติดตั้งที่หน้างาน

ขณะที่ยอดขายในครึ่งปีแรกบริษัททำได้แล้ว 8,800 ล้านบาท หรือเติบโตราว 20-25% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน โดยที่ได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 3 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดอีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 14 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมระดับล่างแบรนด์ไอ-คอนโด 1 โครงการ

โดยที่ในปีนี้ บริษัทจะเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบระดับบนเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโครงการที่อยู่อาศัย เพราะปัจจุบัน ลูกค้าระดับบนถือว่ามีความสามารถในการซื้อที่สูง และพึ่งพาสินเชื่อน้อยกว่าลูกค้าระดับล่าง ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในเรื่องการรับรู้รายได้ และมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15,500 ล้านบาท ส่วนงบซื้อที่ดินไนปีนี้บริษัทได้ใช้ไปเกือบทั้งหมดแล้ว 2,000-3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปี 62



กำลังโหลดความคิดเห็น