อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค เตรียมลุยเดินหน้าโครงการ MDF เต็มกำลัง เร่งก่อสร้างโครงการมูลค่า 1,456.31 ล้านบาท ให้เสร็จทันภายในปี 62 ยกระดับผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ครบวงจรต้นน้ำถึงปลายน้ำ หลังออเดอร์ล้นทะลักทั้งในและต่างประเทศ
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 7/2561 (27 มิ.ย. 61) มีมติอนุมัติให้ บริษัท แพลนเนทบอร์ด จำกัด (บริษัทย่อยของ ECF) เข้าทำรายการลงทุนสร้างโรงงานผลิตและจำหน่ายแผ่นไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นปานกลาง หรือแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ที่ จ.นราธิวาส โดยบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นสามัญของแพลนเนท จำนวน 5,700,000 หุ้น หรือคิดเป็น 57% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
อีกทั้งจะเข้าทำสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สัญญาซื้อขายที่ดิน (ที่ตั้งโครงการ) เนื้อที่ประมาณ 94 ไร่ 3 งาน 38 ตารางวา สัญญาก่อสร้างโรงงาน โกดังสินค้า และอาคารสำนักงาน มีกำลังการผลิต 652 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือ 195,600 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ตั้งอยู่ที่อำเภอยี่งอ จ.นราธิวาส ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรัศมีไม่เกิน 100 กิโลเมตร และสัญญาซื้อเครื่องจักรสายการผลิตและอุปกรณ์โรงงาน
ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการลงนามในสัญญาต่างๆ และชำระราคาค่าสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้แก่คู่สัญญาภายในไตรมาส 4/62 โดยจะใช้เงินลงทุนในโครงการดังกล่าวทั้งสิ้น 1,456.31 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินมาใช้สำหรับการเข้าลงทุนในโครงการผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟของ บริษัท แพลนเนทบอร์ด จำกัด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาอนุมัติสินเชื่ออย่างเป็นทางการจากสถาบันการเงิน นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อนึ่ง คณะกรรมการบริษัทพิจารณาและมีความเห็นว่าการเข้าทำรายการในครั้งนี้ อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม เป็นการเพิ่มศักยภาพ และผลกำไรของบริษัท สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจากเป็นการได้มาซึ่งธุรกิจที่สนับสนุน หรือเป็นต้นน้ำของธุรกิจหลัก คือ การผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ธุรกิจของบริษัทมีความครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และจากผลการศึกษาความเป็นไปได้ พบว่าเป็นโครงการที่ให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ดี โดยมีอัตราผลตอบแทนของโครงการ (Project IRR) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10.43 ต่อปี และมีระยะเวลาการคืนทุน (Payback Period) ไม่เกินกว่า 10 ปี และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Equity IRR) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 11.66 ต่อปี และมีระยะเวลาการคืนทุน (Payback Period) ไม่เกินกว่า 11 ปี บนข้อสมมติฐานตามหลักความระมัดระวัง
“ปัจจุบัน แผ่นไม้เอ็มดีเอฟได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งประเภทต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติใกล้เคียงไม้จริง และมีราคาที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับไม้จริง หรือแผ่นไม้อัด รวมทั้งยังไม่มีสินค้าทดแทนในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ได้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณการใช้แผ่นไม้เอ็มดีเอฟเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัย และผลิตเฟอร์นิเจอร์ ยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้แนวโน้มปริมาณการใช้แผ่นไม้เอ็มดีเอฟเพิ่มสูงขึ้น การลงทุนของบริษัทในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีทางธุรกิจ ช่วยเสริมสร้างจุดแข็งในการดำเนินงาน และการเติบโตอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายที่วางไว้” นายอารักษ์ กล่าว