“จอมทรัพย์ โลจายะ” ประธานคณะกรรมการ SUPER และ “ประเดช กิตติอิสรานนท์” ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทอันดับ 2 ออกมาสยบข่าวลือดังกล่าวว่า การที่ “ประเดช” ว่าการขายหุ้น SUPER ออกนั้น เพียงเพื่อถ่ายโอนอำนาจบริหารให้แก่ผู้ที่มีความสามารถมากกว่า เพื่อผลักดันบริษัทให้เดินหน้าต่อเท่านั้น จากช่วงก่อนหน้านี้ “ประเดช” เข้าเก็บหุ้น SUPER ต่อเนื่องจนทำให้ขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 และเคยยืนยันผ่านสื่อมวลชนหลายสำนักว่าจะเป็นการถือหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวในบริษัท
สำหรับ “ประเดช” ไม่ใช่คนอื่นคนไกลในตลาดหุ้นไทย เพราะเคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เด็มโก้ (DEMCO) แต่ลาออกมาเป็นประธานกรรมการ บริษัท ดีดีมาร์ท โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทเพื่อการลงทุนในหุ้นอันเป็นกิจการส่วนตัว และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ SUPER ในเวลาต่อมา (แต่ปัจจุบันเหลือการถือหุ้นในบริษัท SUPER ไม่ถึง 1%)
ก่อนหน้านี้ในวงการพลังงานทดแทน ต่างรู้ดีว่า “ประเดช” เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปีนี้ ซึ่งในส่วนของกรณี SUPER นั้น “ประเดช” ยืนยันว่าไม่ได้เทขายหุ้น SUPER ออกมาจำนวนมาก แต่เป็นการทยอยขายหุ้นดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน โดยผู้ซื้อคือ “จอมทรัพย์ โลจายะ” ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ SUPER นั่นเอง
เหตุการณ์การเปลี่ยนมือของหุ้น SUPER เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 14 เม.ย.-22 พ.ค. ที่ผ่านมา โดย “ประเดช” ได้ขายหุ้นบิ๊กล็อตออกไปให้กับ “จอมทรัพย์” จำนวน 4 ครั้ง จำนวนรวม 2,677 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 10% ในราคาเฉลี่ย 1.18 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,159 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน มีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2561 “จอมทรัพย์” ได้เข้าซื้อหุ้น SUPER เพิ่มขึ้น ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้น SUPER เพิ่มเป็น 5,031 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18.40%
ส่วนเหตุผลที่ “ประเดช” ขายหุ้น SUPER แล้วเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) จากกลุ่มณรงค์เดช จำนวน 20% ราคาหุ้นละ 500-600 บาท คิดเป็นมูลค่าหลัก 1,000 ล้านบาทนั้น เป็นไปตามที่ตกลงกันมาแล้วระยะหนึ่ง และถึงกำหนดต้องมีการจ่ายเงินภายใน 1-2 วัน จึงเป็นเหตุให้ “ประเดช” ขายหุ้น SUPER ออกมา ขณะเดียวกัน การเข้าถือหุ้น WEH ของ “ประเดช” จะส่งผลให้กลุ่มณรงค์เดช เหลือสัดส่วนการถือหุ้น WEH ประมาณ 50% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 70%
ส่วนลำดับเหตุการณ์การขายหุ้นระหว่าง “ประเดช” และ “จอมทรัพย์” เริ่มจากวันที่ 4 เม.ย. 2561 ขายบิ๊กล็อต 30 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 0.88 บาท (ราคากระดานอยู่ที่ 0.87 บาท) คิดเป็นมูลค่า 26.40 ล้านบาท วันที่ 5 เม.ย. 2561 ขายบิ๊กล็อต 30 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 0.84 บาท (ราคากระดานอยู่ที่ 0.82 บาท) คิดเป็นมูลค่า 25.20 ล้านบาท
ต่อมา วันที่ 23 เม.ย. 2561 ขายบิ๊กล็อต 130 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 1.15 บาท (ราคากระดานอยู่ที่ 1.31 บาท) คิดเป็นมูลค่า 149.50 ล้านบาท วันที่ 24 เม.ย. 2561 ขายบิ๊กล็อต 380 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 1.15 บาท (ราคากระดานอยู่ที่ 1.13 บาท) คิดเป็นมูลค่า 437 ล้านบาท วันที่ 30 เม.ย. 2561 ขายบิ๊กล็อต 680 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 1.15 บาท (ราคากระดานอยู่ที่ 1.15 บาท) คิดเป็นมูลค่า 782 ล้านบาท
จากข้อมูลข้างต้น ทำให้นักลงทุนบางส่วนมองว่าเป็นการไล่ราคาหุ้น SUPER มาเป็นลำดับเริ่มตั้งแต่ราคาต่ำกว่า 0.90 บาทมายืนเหนือเฉลี่ยระดับ 1.00-1.40 บาท แต่ที่เห็นได้ชัดกับการไล่ราคาหุ้น SUPER คือวันที่ 1 มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา ราคาเปิดตลาด 1.48 บาท จากนั้นมีการไล่ราคาหุ้นจนขึ้นไปสูงสุด 1.52 บาท ก่อนจะมีการเทขายหุ้น SUPER ออกมาช่วงบ่ายในวันเดียวกัน
แต่ “ประเดช” ยืนยันเหตุผลในการขายหุ้นบิ๊กล็อตให้แก่ “จอมทรัพย์” ว่า เพราะเห็นมีความตั้งใจที่จะบริหาร SUPER และส่วนตัวแม้ขายหุ้นออกไป แต่ยังความเชื่อมั่นในผลประกอบการ และการดำเนินงานของบริษัท จึงแนะนำให้ครอบครัวซื้อหุ้น SUPER เพิ่มไปประมาณ 200 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 1.40 บาท ทำให้ปัจจุบัน “ประเดช” และครอบครัวยังมีหุ้นอยู่ใน SUPER รวมกันประมาณ 8-9% ไม่เพียงเท่านี้ส่วนตัว ยังมีการถือใบสำคัญแสดงสิทธิ์ SUPER W-4 ที่จะสามารถใช้แปลงสิทธิได้ในสัดส่วน 4% ของหุ้นซุปเปอร์เมื่อถึงวันครบกำหนด
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เบื้องต้น “ประเดช” จะฟ้องโบรกเกอร์ที่ปล่อยข่าวลือ ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2561 ว่า ตนจะเทขายหุ้น พร้อมกับได้ส่งเรื่องร้องเรียน ไปที่สำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อตรวจสอบด้วย เพราะมองว่าเป็นการปล่อยข้อมูลที่สร้างความเสียหายกับตน และบริษัท
ด้าน “จอมทรัพย์ โลจายะ” ประธานคณะกรรมการ ซุปเปอร์ กล่าวยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนทำการขายหุ้นอย่างที่มีกระแสข่าวลือออกมา พร้อมยืนยันว่า แผนการดำเนินธุรกิจยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยก่อนหน้านี้ “จอมทรัพย์” ได้มีการซื้อหุ้นบิ๊กล็อตจาก “ประเดช” มา 10% ผ่านการซื้อหุ้นบิ๊กล็อตทั้งสิ้น 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. 2561
ดังนั้น การได้มาซึ่งหุ้นบิ๊กล็อตจาก “ประเดช” จึงทำให้ “จอมทรัพย์” ถือหุ้น SUPER เพิ่มเป็น 19.96% จากเดิม 9.2% และเมื่อรวมกับครอบครัว และ บจ. แอ็ดวานซ์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ (ซึ่งตนถือหุ้น 100% ของทุนจดทะเบียน) รวมไปถึงบริษัท สุวินทวงศ์ โกลด์ แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งตนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นรวมอยู่ที่ 40.28% หรือประมาณ 11,016 ล้านหุ้น
ปัจจุบัน SUPER มีโรงไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้แล้ว (COD) 740.06 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าหมายภายในปี 2561 จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 854 เมกะวัตต์ โดยในเดือนมิถุนายนนี้
ส่วนแผนการตั้งกองทุนอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์ (IFF) โดยการนำโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัทขนาด 118 เมกะวัตต์ จัดตั้งกองมูลค่า 9,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถก่อตั้งได้ภายในปี 2561 โดยเบื้องต้น มีแผนที่จะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน และเข้าซื้อขายภายในปีนี้ เช่นกัน
ทำให้บริษัทมั่นใจว่าพื้นฐานของบริษัทมีความแข็งแกร่ง มีรายได้เข้าบริษัทกว่าปีละ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรราว 87% และมีกระแสเงินสดที่ปีละ 5,200 ล้านบาท ซึ่งต้องมีการชำระหนี้ราว 3,300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะเหลือเงินในการเข้าลงทุนได้อีกกว่าปีละ 1,900 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีหนี้สินรวมกว่า 23,000 ล้านบาท ในการชำระหนี้ราว 12 ปี
สำหรับตระกูล “โลจายะ” เป็นที่รู้จักกันดีด้วยเป็นกลุ่มผู้หุ้นใหญ่ใน บมจ. เอเวอร์แลนด์ (EVER) บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ “ประเดช” และ “จอมทรัพย์” ถือเป็น 2 คู่หูต่างวัยที่ร่วมผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาอย่างโชกโชน โดยก่อนหน้านี้ โดย “จอมทรัพย์” เคยประกาศไว้อย่างชัดเจนว่ามีการตระเตรียมเงินสดไว้ราว 2 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของตัวเองในบริษัทเป็น 20% จากที่ถืออยู่ราว 10%
ด้านความเห็นของนักวิเคราะห์ แสดงมุมมองต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทว่า พื้นฐานบริษัทยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยมองกำไรกำลังเป็นทิศทางบวกตลอด 3 ไตรมาสจากนี้ จากกำลังการผลิตใหม่ อาทิ โรงไฟฟ้าขยะ 9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ 28 เมกะวัตต์ ที่กำลังทยอย COD ตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นไป
ขณะที่ความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) เพื่อนำเงินทุนไปต่อยอดโครงการลมที่ประเทศเวียดนามอีกกว่า 600 MW เริ่มชัดเจนขึ้นมาก หลังจากการรับฟังความคิดเห็นโดย ก.ล.ต. สิ้นสุดลงแล้วเมื่อ 18 พ.ค. ซึ่งเปิดโอกาสให้ SUPER สามารถดำเนินการต่อไปได้ทันที ทำให้มีราคาเหมาะสม เป็น 1.40 บาทต่อหุ้น จากโรงไฟฟ้าซึ่งได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และมีความคืบหน้าจับต้องได้แล้ว 320 MW ขณะที่อีก 600 MW อยู่ระหว่างเตรียมการ และเป็นโอกาสในอนาคต