“จอมทรัพย์-ประเดช” ตั้งโต๊ะแถลงร่วม กลบข่าวลือ ทุบหุ้น เพิ่มทุน หลังกระแสหุ้นร่วงหนัก กดราคาดิ่งแตะ 1.01 บาทต่อหุ้น พร้อมเตรียมฟ้องโบรกฯ ต่อ ก.ล.ต. หลังพบปล่อยข่าวสร้างความเสียหายหาว่าตนทุบหุ้น
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดแถลงข่าวด่วนกรณีที่มีข่าวลือว่า ตนได้ขายช็อตหุ้น SUPER เป็นจำนวนมาก ซึ่งขอยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นความจริง โดยตนไม่ได้ทำการขายหุ้นออกตามที่ปรากฏเป็นข่าวแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ตนได้ทยอยซื้อหุ้น SUPER เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด สัดส่วนการถือหุ้นของตนอยู่ที่ 19.96% จากเดิม ซึ่งอยู่ที่ 9.2% ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นบิ๊กล็อตจาก นายประเดช กิตติอิสรานนท์ ช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม และหากนับส่วนของตนและครอบครัว รวมถึงบริษัท สุวินทวงศ์ โกลด์ แอสเซ็ท จำกัด ที่ตนถือหุ้นทั้งหมด ส่งผลให้มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 40.28% หรือ 11,016 ล้านหุ้น
“ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่ดี ไม่มีความจำเป็นที่จะเพิ่มทุน เพราะมีกระแสเงินสดเพียงพอ และแต่ละโครงการมีการทำโปรเจกต์ไฟแนนซ์แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ทำสัญญาเงินกู้ระยะยาว ส่วนจำนวนหนี้ในปัจจุบันที่ 24,000 ล้านบาทนั้น เป็นหนี้ระยะยาวมีกำหนดเวลาชำระ 10-12 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังมีธนาคารชั้นนำทั้งใน และต่างประเทศ เช่น ธนาคารกรุงเทพ, ICBC ของจีน และธนาคารกรุงศรีฯ ให้การสนับสนุน”
ทั้งนี้ ในส่วนของการจัดตั้งกองทุนอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ (IFF) มูลค่า 9,000 ล้านบาท โดยจะนำสินทรัพย์โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เข้ากองทุน 118 เมกะวัตต์ นั้น ซึ่งได้จัดจ้างธนาคารกรุงเทพเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เบื้องต้น มีแผนที่จะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงปลายเดือนนี้ และคาดหวังเข้าซื้อขายภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลังจากทาง ก.ล.ต. ได้จัดทำการรับฟังความคิดเห็น (Public Hearing) เพื่อยกเว้นหลักเกณฑ์สำหรับการลงทุนในโครงการที่มูลค่าต่ำกว่า 500 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีรายได้เฉลี่ยในปัจจุบันที่ 6,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่มี EBITDA มากกว่า 87% หรือ 5,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากพอที่จะนำไปชำระหนี้เฉลี่ยปีละ 3,300 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 1,900-2,000 ล้านบาท จะใช้สำหรับเป็นเงินลงทุนในอนาคต อีกทั้งยังมีเงินที่จะได้รับการออกหุ้นกู้ และสินเชื่อจากสถาบันการเงินซึ่งถือว่าไม่ประสบปัญหาทางการเงินตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังได้ขออนุมัติวงเงินหุ้นกู้จากผู้ถือหุ้นไว้ประมาณ 36,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และนำมาใช้ในการลดต้นทุนดอกเบี้ยในอนาคต โดยคาดหวังต้นทุนภาระดอกเบี้ยในอนาคตจะลดลงเหลือประมาณ 4% จากปัจจุบัน 5% โดยปีนี้จะออกหุ้นกู้ประมาณ 50% ของมูลค่าที่ขออนุมัติไว้
ขณะที่ในส่วนของ นายประเดช กิตติอิสรานนท์ ผู้ถือหุ้นของ SUPER กล่าวว่า ได้ทำการขายหุ้นบิ๊กล็อตออกไปให้กับ นายจอมทรัพย์ โลจายะ คิดเป็นจำนวน 10% หรือประมาณ 2,677 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ย 1.18 บาทต่อหุ้น ตั้งแต่ช่วง 14 เมษายน-22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากส่วนตัวมีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้ที่กู้มาเพื่อเข้าซื้อหุ้น วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง ทำให้ปัจจุบันเฉพาะสัดส่วนหุ้น SUPER ที่ตนถือหุ้นอยู่มีไม่ถึง 1% หรือคิดเป็นประมาณ 100 กว่าล้านหุ้นเท่านั้น ขณะที่ครอบครัวของตนนั้น ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 8-9% ในส่วนของการถือใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ วอร์แรนต์ SUPER-W4 ที่จะสามารถใช้แปลงสิทธิได้ในสัดส่วน 4% ของหุ้น SUPER เมื่อถึงวันครบกำหนด
“ได้มีการตรวจสอบและรวบรวมเอกสารหลักฐาน อีกทั้งปรึกษาร่วมกันกับทางบริษัทฯ ที่จะดำเนินการฟ้องร้องบริษัทโบรกเกอร์แห่งหนึ่งที่ปล่อยข่าวลือว่า ตนจะเทขายหุ้น SUPER ถ้าหากราคาหุ้นไปถึง 1.5 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ราคาขึ้นไปถึงระดับดังกล่าว และราคาหุ้นปรับร่วงลงปิดที่ราคาฟลอร์ 1.04 บาท โดยมีนัยว่า ตนจะนำเงินที่ขายหุ้นได้ไปลงทุนในบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่ตนถือหุ้นอยู่ 12% จะยื่นไฟลิ่งเพื่อขอเข้าจดทะเบียนใน ตลท. ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ในต้นปี 2562”
อย่างไรก็ตาม นายประเดช ยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ขาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาทนาย และรวบรวมหลักฐาน รวมถึงบริษัทจะส่งเรื่องร้องเรียนไปให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อตรวจสอบด้วย เพราะเป็นการปล่อยข้อมูลที่สร้างความเสียหายกับตน และบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน ) โดยขอยืนยันว่าตนไม่ได้มีนิสัยที่จะสร้างความเสียหายให้กับราคาหุ้น