“ซีลิค คอร์พ” ประกาศแผนกลยุทธ์ปี 2561 กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างรากฐาน (foundation) ที่มั่นคงหวังปูฐานการเติบโตธุรกิจอย่างยั่งยืนรองรับการแข่งขันในตลาด เน้นการบริหารจัดการภายใต้แนวคิด customer centricity ส่งเสริมด้านนวัตกรรม รวมทั้งปรับกระบวนการทำงาน และโครงสร้างภายใน (transform) ต่อเนื่อง เน้นเติบโตอย่างยั่งยืน
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีลิค คอร์พ (SELIC) เผยนโยบายการเติบโตของบริษัทในภาพใหญ่ เน้นการวางรากฐานที่แข็งแรง รวมถึงการปรับโครงสร้างการบริหาร การพัฒนาองค์กร การปรับกระบวนการ ทำงาน เพื่อตอบสนองนโยบายเชิงกลยุทธ์ 2 ด้านที่สำคัญของบริษัท คือ การเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้า หรือ Heart of Customer และการส่งเสริมด้านนวัตกรรม หรือ Innovation
โดยแผนงานในปี 2561 จะมีทิศทางการดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายหลักทั้งสองด้าน โดยมี 5 ด้านประกอบไปด้วย
1. การบริหารความสัมพันธ์และประสบการณ์ลูกค้าแบบ customer centric โดยมีการปรับโครงสร้างการบริหาร ด้านการขาย คือ แยกฝ่ายขายต่างประเทศ และในประเทศออกจากกัน เพื่อให้เกิดการโฟกัสในตลาดที่แตกต่าง นอกจากนี้ มีการปรับโครงสร้างภายในประเทศ โดยจัดทีมขายต่างอุตสาหกรรมของลูกค้าเป็นหลัก เพื่อให้เกิดความเข้าใจในธุรกิจลูกค้า และสามารถตอบสนองความต้องการด้านธุรกิจลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
“จากผลการวิจัยพบว่า สิ่งที่ลูกค้ามองหา คือ สินค้าที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ การส่งของที่ตรงเวลา และที่สำคัญ คือ การบริการที่รวดเร็ว และช่วยแก้ปัญหาลูกค้าได้ เช่น ของขาด สามารถส่งของได้ทันการใช้งาน ฉะนั้น การปรับทีมดังกล่าวจะทำให้ทีมเกิดโฟกัส และเข้าใจการใช้งานของลูกค้าได้เป็นอย่างดี” นางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนาธุรกิจ กล่าว
2. ด้านนวัตกรรม โดยมีงบวิจัยและพัฒนาสำหรับค้นคว้าและพัฒนาสินค้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ ด้านการจัดการมีการแยกทีมในแผนกวิจัย และพัฒนา ออกเป็น 2 ทีม โดยจะมีทีมที่พัฒนาสินค้าใน portfolio และทีมวิจัยที่สามารถคิดค้น งานวิจัยโครงการต่าง ๆ โดยไม่ได้มีขอบของตัวสินค้ามาเป็นกรอบ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯ ให้ความสำคัญด้านนวัตกรรม และมีการส่งเสริมมาตลอด โดยมีการจัดสรรงบสำหรับ R&D ทุกปี และมีการแยกทีมวิจัย และทีมพัฒนา จะทำให้ทั้งสองทีมมีเวลาในการคิดค้น เพื่อสร้างหรือต่อยอดนวัตกรรมได้โดยสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีการส่งเสริมให้พนักงานทุกคนแสดงความคิดใหม่ ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับกับการพัฒนาสินค้าที่มีอยู่
3. ยกระดับการผลิตทั้งด้านกำลังการผลิตและศักยภาพการผลิต เพื่อตอบสนอง และรองรับตลาดและการใช้งานกาว อุตสาหกรรม เนื่องจากปัจจุบัน ตลาดมีความต้องการกาวที่ความข้นหนืดสูงขึ้น รวมทั้งปริมาณการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นตามความต้องการตลาด
4. ขยายตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้บริการอยู่ รวมทั้งเจาะกลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มเติม เช่น กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ กลุ่มก่อสร้าง และกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ในส่วนทางด้านต่างประเทศ ยังคงเน้น และให้ความสำคัญตลาด CMV และทวีปออสเตรเลีย รวมประเทศนิวซีแลนด์
ขณะที่นางสาวยุวดี กล่าวเพิ่มเติม “การปรับโครงสร้างทีมขาย ทำให้การวางแผนขยายตลาดมีความชัดเจนขึ้น และยังเป็นการสร้างความรู้เฉพาะด้านให้กับทีม และเกิดความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และตลาดที่ทีมทำงานอยู่”
5. มองหาโอกาสในการเติบโตของธุรกิจโดยการขยายธุรกิจโดยให้มีความหลากหลาย (diversity) โดยผ่านกระบวน การควบรวม หรือซื้อกิจการ (Merging and Acquisition) “เราพยายามมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจ ในด้านความหลากหลายนอกเหนือจากการเติบโตจากการดำเนินการ โดยอาจผ่านทางด้านการซื้อ หรือควบรวมกิจการ กับธุรกิจที่เราสนใจ และคิดว่าจะสามารถสร้างความเติบโต และเอื้อต่อบริษัท” นายเอก กล่าวปิดท้าย
อย่างไรก็ตาม จากทิศทางที่วางไว้ มั่นใจว่าจะบริษัทจะเติบโตดีกว่าปีที่แล้ว โดยปี 2560 ยอดขาย โดยรวมอยู่ที่ 590.03 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6.44% ขณะที่ยอดขายกาวอุตสาหกรรมอยู่ที่ 576.90 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10%