“รังสรรค์” ปธ.บอร์ดทีเอ็มบียันไม่มีวาระควบรวมในการประชุมบอร์ด ลั่นมีศักยภาพในการแข่งขันได้ ด้านนายแบงก์ระบุมาตรการด้านภาษีสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ควบรวมเป็นการเสริมสร้างศักยภาพให้แข็งแกร่งในการขยายสู่ภูมิภาคมากขึ้น แต่ยังต้องพัฒนาในด้านพัฒนาในด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และต้องดูความเหมาะสม ความพร้อม ความจำเป็นของแต่ละแห่งด้วย
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ประธานกรรมการ ธนาคารทหารไทย (TMB) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา ไม่มีวาระเกี่ยวกับการควบรวมธนาคารแต่อย่างใด เนื่องจากต้องรอความชัดเจนในเรื่องของกฎหมายยกเว้นภาษีการควบรวมกิจการ ซึ่งขณะนี้อยู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ธนาคารเองยังมีศักยภาพในการแข่งขันในระดับดี
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวว่า แนวทางที่ทางการสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์มีการควบรวมกันนั้น เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง และเป็นประโยชน์กับธนาคารพาณิชย์ที่จะต้องออกไปแข่งขันกันในภูมิภาคนี้มากขึ้น แต่ในส่วนของธนาคารกรุงเทพนั้น ปัจจุบันก็มีสาขาอยู่ในภูมิภาคเอเชีย และมีความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว และยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในขณะนี้
“เรื่องของการควบรวมธนาคารพาณิชย์นั้น ก็เป็นสิ่งที่ดีตามวัตถุประสงค์ทางการที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธนาคารพาณิชย์ที่ในอนาคตก็จะต้องออกไปแข่งขันในภูมิภาคนี้มากขึ้น แต่ธนาคารยังไม่ได้คิดถึงในเรื่องนี้ โดยปัจจุบัน ธนาคารมีเครือข่ายอยู่ในภูมิภาคเอเชียอยู่แล้ว ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งอยู่”
สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารในไตรมาสแรกปี 2561 ที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นไปตามประมาณของธนาคารในทุกส่วน ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารที่อยู่ในระดับ 3.8% ลดลงจากระดับ 3.9% ณ สิ้นปี 2560 แต่สูงขึ้นจาก 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น ไม่มีกระจุกตัวอยู่กลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และไม่ได้สร้างปัญหาให้กับธนาคารแต่อย่างใด
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวนั้น ตนมองว่า เป็นมุมมองของภาครัฐมีเหตุผลที่ต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ในประทศไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่า ความแข็งแกร่งของธนาคารพาณิชย์อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ต้องพัฒนาในส่วนต่าง ๆ เพิ่มเติม รวมถึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการลงทุนเทคโนโลยีที่ธนาคารให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่ธนาคารในยุคนี้ต้องให้ความสำคัญ และจะช่วยในการลดต้นทุน และสร้างการบริการที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้นด้วย
“การที่ธนาคารเน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อให้ลูกค้าหันมาใช้ช่องทางโมบายล์แบงกิงมากขึ้น เป็นการสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์ม และการเป็นธนาคารหลักของลูกค้า แต่การที่จะเป็นได้ต้องมีบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ โดยที่ธนาคารคาดหวังมีจำนวนผู้ใช้บริการผ่ายช่องทางโมบายล์เพิ่มอีก 1 เท่าตัวในปี 2563 จากปัจจุบันมีฐานลูกค้าผู้ใช้งานโมบายล์อยู่ที่ 14 ล้านราย รวมถึงมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตอบโจทย์ลูกค้าจะเป็นปัจจัยที่หนุนให้สินเชื่อมีการเติบโตได้ และมีรายได้จากการให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นมาชดเชยรายได้จากค่าธรรมเนียมที่หายไป สำหรับแผนการควบรวมกิจการของธนาคารไทยพาณิชย์ปัจจุบันยังไม่มีแผนในเรื่องดังกล่าว”
ด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) กล่าวว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้ธนาคารในประเทศมีการควบรวมกิจการ มองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ภาครัฐเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว แต่สถาบันการเงินแต่ละแห่งก็ต้องดูความเหมาะสม ความพร้อม และความจำเป็นของแต่ละธนาคาร เนื่องจากแต่ละธนาคารมีจุดแข็งและมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน
“ยอมรับว่าการควบรวมกิจการจะทำให้ขนาดของธนาคารใหญ่ขึ้น เป็นผลดีทำให้ฐานลูกค้าโตขึ้นตามไปด้วย และจะมีผลบวกทำให้เกิดการบริการลูกค้าในหลากหลายมิติ ซึ่งท้ายที่สุดลูกค้าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการ เพราะปัจจุบัน ธนาคารใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แทนสาขาของธนาคารมีแนวโน้มลดลง”