สิงห์ เอสเตท ประกาศนโยบายก้าวสู่ “โฮลดิ้ง คัมปานี” เดินหน้าขยายลงทุน-M&A ธุรกิจโรงแรม-สำนักงาน-ที่อยู่อาศัยหวังรายได้ทะลุ 20,000 ล้านบาทในปี 63 ล่าสุดทุ่ม 11,073 ล้านบาท ซื้อโรงแรม 6 แห่งใน 4 ประเทศ พร้อมเตรียมนำ “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวสู่การเป็น “พรีเมียร์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ อินเวสต์เม้นท์ โฮลดิ้ง คัมปานี” พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงานให้เช่า รีเทล และที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมองหาธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโต และสร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนให้แก่บริษัทในอนาคต
สำหรบแผนการลงทุนในปีบริษัทตั้งงบประมาณในการลงทุนไว้ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้สำหรับการเข้าซื้อกิจการเอาท์ริกเกอร์ โฮเทลม์ ฮาวาย ซึ่งเป็นธุรกิจโรงแรม และรีสอร์ต จำนวน 6 แห่ง ใน 4 ประเทศ มูลค่า 11,073 ล้านบาท ได้แก่ โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท จำนวน 253 ห้องพัก ซึ่งโรงแรมแห่งนี้มีพื้นที่ที่สามารถนำมาพัฒนาเพิ่มได้อีกกว่า 1,000 ไร่, โรงแรมแคสต์อเวย์ ไอส์แลนด์ ในประเทศฟิจิ จำนวน 65 ห้อง โรงแรมแห่งนี้ยังมีที่ดินที่สามารถขยายโรงแรมได้อีกเช่นกัน, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ลากูน ภูเก็ต บีช รีสอร์ท จำนวน 255 ห้อง, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท จำนวน 52 ห้อง, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศ มอริเชียส จำนวน 181 ห้อง และ โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ท ประเทศมัลดีฟส์ จำนวน 53 ห้อง โดยกำหนดชำระเงินและโอนกิจการในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ หลังจากนั้น บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากบริษัทดังกล่าวได้ทันที
นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนพัฒนาโครงการโรงแรมเอง โดยล่าสุด ได้ลงทุนก่อสร้างโครงการ “ครอสโร้ดส์” ในมัลดีฟส์ มูลค่าโครงการ เฟส 1 จำนวน 11,000 ล้านบาท โดยมีแผนจะพัฒนาเป็น Tourist Facilities Destination บนพื้นที่ยาว 7 กม. แบ่งเป็น 9 เกาะ ประกอบด้วยโรงแรม และรีสอร์ต จำนวน 390 ห้อง ราคา 350-55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคืน คาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 70% รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร อาทิ ท่าเทียบเรือยอร์ช, บีช คลับ ระดับลักชัวรี, ร้านค้าไลฟ์สไตล์, ร้านค้าปลอดภาษี, ร้านอาหาร และ Cultural Center โดยจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือนตุลาคม หรือเดือนพฤศจิกายน ในส่วนของ Township ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 5,000 คนต่อวัน
หากรวมการลงทุนทั้งหมด คาดว่าจะส่งผลให้สินทรัพย์เติบโตเป็น 60,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ อีกทั้งยังเป็นงบสำหรับซื้อที่ดิน 1 แปลงในย่านใจกลางกรุงเทพฯ โดยคาดว่าจะใช้เม็ดเงินราว 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงปลายปี 2561
สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในปี 2561 สิงห์ เอสเตท จะพัฒนาเอง 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว สันติบุรี เรสซิเดนซ์ มูลค่า 6 พันล้านบาท, โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ระดับลักชัวรี ทำเลสุขุมวิท 43 และโครงการคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างการหาที่ดิน โดยที่บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2561 จากปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท
นายนริศ กล่าวต่อว่า การซื้อกิจการ (M&A) บริษัทจะเน้นไปที่การซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวได้ทุกฤดูกาล และไม่เน้นไปที่กลุ่มโรงแรมที่เป็นบิสสิเนส โฮเทลส์ เพื่อทำให้มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ประกอบกับบริษัทมองถึงการท่องเที่ยวที่มีการเติบโตมากขึ้น ทำให้เป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้เข้ามาได้ทันที พร้อมกับช่วยผลักดันสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% ภายในปี 2563 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศไม่ถึง 50% และเป็นการช่วยผลักดันเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) เป็น 70% ในปี 2563 จากปัจจุบันอยู่ที่ 30%
ขณะที่แนวโน้มของรายได้ในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,220 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทมีการรับรู้รายได้จากโรงแรมในประเทศอังกฤษได้เต็มปี หลังจากที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้มาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน และจะมีการรับรู้รายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทเนอวานา ไดอิ (NVD) ซึ่งเป็นบริษัทลูก เข้ามามากกว่า 6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากโรงแรม 6 แห่งของเอาท์ริกเกอร์ การเปิดให้บริการของอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ในช่วงเดือน ส.ค. ซึ่งมีอัตราการเช่า 60% ในปีนี้ การเริ่มทยอยโอนโครงการ The ESSE Asoke ในช่วงปลายปีนี้เล็กน้อย และการเปิดให้บริการของโรงแรม 2 แห่งของโครงการครอสโร้ด มัลดีฟส์ เฟส 1
ทั้งนี้ จะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของรายได้มากขึ้นในปี 2562 ซึ่งจะส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่บริษัทจะมีรายได้แตะ 20,000 ล้านบาท เร็วกว่ากำหนดเดิมในปี 2563 มาเป็นปี 2562 เพราะในปี 2561 บริษัทมีโรงแรมในเครือของเอาท์ริกเกอร์ เข้ามาเสริมมากกว่าแผน 6 แห่งในปีเดียว จากเดิมจะมีโรงแรมใหม่เข้ามา 2 แห่งต่อปี ทำให้คาดว่ารายได้รวมที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2563 จะทำได้เร็วกว่ากำหนดเดิม
นายนริศ กล่าวต่อว่า การสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และขับเคลื่อนสู่การเป็น Holding Company เพื่อความพร้อมในการเติบโตในระยะยาว พร้อมกับมีแผนนำธุรกิจโรงแรมของบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท โรงแรมจำนวนกว่า 5,000 ห้อง และวางแผนนำอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส เข้ากองทุนทรัสต์เพื่อการลงทฺนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ภายในปี 2561 อีกทั้งยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างรวดเร็วและมั่นคงจากแต่ละธุรกิจที่มีความสมดุลกันทั้งธุรกิจอาคารสำนักงาน ค้าปลีก และโรงแรม ที่จะสร้างรายได้ประจำ พร้อมกับรายได้ที่ไม่ประจำในสัดส่วน 50:50 โดยที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 2563 ที่ 2 หมื่นล้านบาท
“เรายังคงเดินหน้าขยายการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนมา Vission มาเป็น Premier property development & investment holding company เพื่อทำให้ Vission ของเรากว้างขึ้น ไม่ได้เฉพาะการลงทุนแค่ในธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายเท่านั้น แต่ลงทุนในอสังหาฯรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่าเดิม ซึ่งครั้งนี้สิงห์ เอสเตท จะก้าวสู่การเป็น Holding Company และเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนกลับมาได้ทันทีเป็นหลัก” นายนริศ กล่าว