ในยุค 4.0 ที่ไลฟสไตล์คนเมือง ต้องการความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย การตลาดแบบเดิม ๆ ที่มีเพียง 4P ซึ่งประกอบด้วย Product, Price, Place และ Promotion ไม่เพียงพอสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป ขณะที่ Prop Tech หรือ Property Technology ที่เหล่า Startup พัฒนาขึ้นมา ได้ก้าวเข้ามาเป็นนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ ๆ ที่สนองตอบความต้องการไลฟสไตล์คนเมือง ได้กลายมาเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ในปัจจุบัน
Property Technology กลายเป็นกระแสที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในวงการอสังหาฯ และเป็นเครื่องมือทางการตลาดชิ้นใหม่ของดีเวลลอปเปอร์ในยุค Digital Transformation ที่นำมาเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งด้านบริการและการเพิ่มยอดขาย นับวันจะมีบทบาทต่อการพลิกโฉมธุรกิจอสังหาฯ เพิ่มขึ้น ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ ๆ ได้นำ Prop Tech เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน และลดต้นทุน ที่สำคัญ คือ ตอบไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มลูกค้าในเรื่องความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต อาทิ การนำระบบ 3D Printing, AI (Artificial Intelligence) และ VR (Virtual Reality) มาใช้ในกระบวนการออกแบบ เพื่อสร้างความเสมือนจริง และลดข้อผิดพลาดในการออกแบบ, ระบบการซื้อ-ขายที่อยู่อาศัยทางออนไลน์ หรือ e-booking เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกบ้าน และอีกมากมาย
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึง Home Automatic ระบบควบคุมอัตโนมัติภายในบ้าน หรืออาคารผ่านระบบดิจิทัล เช่น การควบคุมแสงสว่าง ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบควบคุมการปิดเปิดประตูหน้าต่าง ฯลฯ ที่นำมาใช้ เพื่อสร้างความสะดวกสบาย และเพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้อาศัย
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ได้กลายมาเป็นมาตรฐานพื้นฐานที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องมีให้แก่ลูกค้า แม้ว่าไม่ปัจจุบัน Prop tech จะถูกมองว่าเป็นเพียงนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ใช่เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า แต่ในอนาคต Prop tech จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการขาดไม่ได้ เพราะถ้าใครไม่ทำ ก็จะอยู่ในธุรกิจอสังหาฯ ได้ยากมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกพัฒนาให้ฉลาดมากขึ้น และสามารถอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น จนสามารถกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าใช้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ดังนั้น ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการอสังหาฯ ทั้งรายเล็กรายใหญ่ ให้ความสำคัญและพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยใหม่ ๆ เหล่านี้เข้ามาใช้ให้บริการลูกค้าในโครงการที่อยู่อาศัย
แสนสิริ อัดฟีเจอร์ Home Service สั่งการด้วยเสียงภาษาไทย
ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“แสนสิริ เป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาฯ รายแรกในไทยที่พัฒนาแอป Home Service สำหรับลูกบ้านแบบครบวงจร และล่าสุด เราพัฒนาไปอีกขั้นสู่ Home Service เวอร์ชัน 2018 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของแสนสิริ ในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งด้วยแนวคิดที่เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ในการอยู่อาศัย ผ่านการดูแลลูกบ้านตั้งแต่วินาทีแรกที่ตัดสินใจเป็นครอบครัวแสนสิริ เริ่มตั้งแต่ก่อนโอนไปจนถึงเข้าอยู่ ด้วยบริการและฟังก์ชันที่อำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแวดวงอสังหาฯ ไทย หลังจากเริ่มเปิดตัวในปี 2555 ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากลูกบ้าน จากจำนวนผู้ใช้หลักร้อยก็ได้เพิ่มเป็นหลักหมื่นอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงสามปี”
ปัจจุบันมีผู้ใช้ถึงกว่า 15,000 คนใน 154 โครงการ 52,000 ยูนิต ทั่วประเทศ และเพื่อสร้างความพึงพอใจยิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งาน รวมถึงดึงดูดกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ ๆ สู่เป้าหมายการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานเป็น 50,000 รายภายในปี 2561 เราจึงอัปเกรด Home Service ให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น ด้วยคอนเซ็ปต์ An all-in-one app to complete your everyday living experience เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ และรองรับเทรนด์ e-Commerce Lifestyle ของผู้บริโภคโดยแอป Home Service จะเป็น Living Experience Toolkit เปรียบเสมือนรีโมตในมือพวกเขาที่สามารถควบคุมสั่งการได้ง่าย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายของการใช้ชีวิตลูกค้าแสนสิริ ให้สะดวกครบทุกเรื่องบ้าน
โมบายล์แอปพลิเคชัน Home Service ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการใช้งาน 2 ช่องทาง คือ อุปกรณ์สื่อสารระบบปฏิบัติการ iOS และ Android และจะพัฒนาไปสู่ Home Service Platform ที่ให้บริการอยู่บนอุปกรณ์อื่น ๆ อาทิ Smart Speaker, Smart Display, Wear OS เป็นต้น และสามารถใช้งานได้ถึง 5 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย, อังกฤษ, จีนกลาง, จีนกวางตุ้งและญี่ปุ่น เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชันที่หลากหลาย อำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ การติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ รวบรวมเอกสารและข้อมูลการโอนต่าง ๆ บริการแจ้งเตือนจดหมาย และพัสดุอัตโนมัติ บริการแจ้งยอดชำระค่าใช้จ่ายรายเดือน เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ บริการรับแจ้งซ่อมแซมตลอด 24 ชั่วโมงที่สามารถติดตามตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินการได้ ระบบสั่งจองการใช้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ระบบกล่องรับความคิดเห็น และ QR Code ที่สามารถใช้ยืนยันตัวตนการเข้าใช้บริการที่แสนสิริ เลาจน์ ตลอดจนมีการพัฒนาต่อยอดฟังก์ชันต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง
นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์สจำกัด กล่าวว่า “การยกระดับแอป Home Service เกิดขึ้นโดยอาศัย 4 แนวคิดหลัก คือ Convenience : ใช้งานง่ายขึ้นสะดวกขึ้นสำหรับผู้ใช้งานทุกเจเนอเรชัน ด้วยการออกแบบ User Experience (UX) ที่สามารถอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานได้มากที่สุด Cover : ขยายขอบข่ายความสามารถของแอปให้กลายเป็น lifestyle application เป็นทุกอย่างเพื่อการอยู่อาศัยของลูกบ้านตั้งแต่เรื่องการซื้อของ แต่งบ้าน งานบ้าน ฯลฯ Customize : คัดสรรการแสดงผลข้อมูลที่เหมาะกับผู้ใช้งานแต่ละคน (Tailormade) ทั้งเรื่องของโครงการที่เป็นเจ้าของ และความสนใจ และ Privilege : รวบรวมสิทธิพิเศษเหนือระดับให้กับลูกบ้านแสนสิริโดยเฉพาะ”
Home Service Application เวอร์ชัน 2018 ได้รับการยกระดับเทคโนโลยีโดยใช้แพลตฟอร์ม Cloud เว็บเซอร์วิสของ Amazon (AWS) ที่มี Azure App Insights ของ Microsoft คอยมอนิเตอร์การทำงานของ Cloud ที่จะแจ้งเตือนให้ทีมพัฒนารู้ทันทีเมื่อระบบทำงานผิดปกติ พร้อมทำงานร่วมกับ Google Firebase ในการบริหารระบบแจ้งเตือนต่าง ๆ เช่น ข้อความใหม่ แจ้งเตือนประกาศ แจ้งเตือนเมื่อได้รับพัสดุ และระบบแชตกับนิติบุคคล โดยระบบเซิร์ฟเวอร์ของ Home Service เวอร์ชัน 2018 หันมาใช้ภาษา Golang ในการพัฒนาซึ่งช่วยให้การทำงานมีความเสถียรและรวดเร็วมากกว่าเดิม พร้อมรองรับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก รวมทั้งใช้สถาปัตยกรรมของระบบแบบ Hybrid Microservices ในการวางโครงสร้างที่เอื้อให้ผู้พัฒนาสามารถเพิ่มเติม หรืออัปเดตฟังก์ชันได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดระบบ Core หลักของแอป ทำให้ลูกบ้านใช้งานได้ต่อเนื่องไม่สะดุด
ทั้งนี้ ไฮไลท์ของ Home Service เวอร์ชัน 2018 พร้อมกับหลากหลายปรากฏการณ์ด้านเทคโนโลยีและสิทธิประโยชน์สำหรับลูกบ้านแสนสิรินั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 แกนหลัก คือ 1. ความสามารถที่รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย บนแอปในมือถือจากอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ใช้งานได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการถามค่าใช้จ่าย จองส่วนกลาง สั่งควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน 2. เป็นครั้งแรกกับ E-Wallet ฟังก์ชันบนแอปด้านการอยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ e-Commerce Lifestyle ที่จะช่วยให้เรื่องการจ่ายทุกค่าใช้จ่ายเพื่อการอยู่อาศัยง่ายขึ้น สะดวกยิ่งขึ้น ในแอปพลิเคชันเดียว ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าส่วนกลาง ค่าผ่อนคอนโด และในอนาคต จะรองรับการซื้อขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ด้วยระบบ Payment Gateway ที่กำลังอยู่ในระหว่างการวางระบบ พร้อมดึงพันธมิตรร้านค้าชั้นนำต่าง ๆ มารวมอยู่ใน E-Wallet ซึ่งจะพร้อมเปิดให้ใช้ในไตรมาสที่ 3
และ 3. เป็นครั้งแรกกับการจัดเต็มด้านสิทธิประโยชน์ และบริการเหนือระดับ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกบ้านได้อย่างครบครัน ด้วยการผนึกกำลังจากพันธมิตรชั้นนำจากหลากหลายวงการ เช่น การอัปเกรดฟังก์ชันการแต่งห้องจาก SB Furniture ทั้งหมด 2 ส่วน คือ เฟอร์นิเจอร์แพกเกจที่แสนสิริ ออกแบบร่วมกับ SB Furniture ให้ตรงกับแบบแพลนของห้องในโครงการ โดยมีให้เลือกถึง 4 แบบ ซึ่งได้เปิดตัวฟังก์ชันนี้ให้กับลูกบ้านโครงการ mori HAUS แล้ว และต่อไป จะเริ่มนำมาใช้กับโครงการภายใต้แบรนด์ THE LINE และยังมีเฟอร์นิเจอร์รายชิ้น ที่คัดสรรเข้ามาไว้ในแอปพลิเคชัน Home Service โดยผู้ออกแบบที่มีชื่อเสียง ให้เหมาะสมกับแต่ละโครงการในสไตล์ต่าง ๆ พร้อมข้อเสนอพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟอื่น ๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ ยังเพิ่มไอคอน Samsung บนแอปพลิเคชัน Home Service เพื่อลิงก์ไปสู่ Microsite พิเศษ เพื่อเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า Samsung กว่า 150 รายการ ด้วยข้อเสนอราคาพิเศษกว่าท้องตลอด พร้อมโปรโมชันประจำไตรมาสสำหรับลูกบ้านแสนสิริ โดยเฉพาะ การเลือกซื้อวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านจาก SCG บนแอป Home Service พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษพร้อมตัวเลือกบริการติดตั้งถึงที่ สำหรับโครงการในกรุงเทพฯ ลูกบ้านสามารถสั่งซื้อน้ำดื่ม Sprinkle ผ่านแอป Home Service ในราคาพิเศษ พร้อมจัดส่งให้เมื่อสั่งขั้นต่ำเพียง 2 แพก จากปกติที่ต้องสั่ง 10 แพก จึงจะจัดส่ง และยังมี Welcome pack สำหรับลูกบ้านที่โอนโครงการภายในปีนี้อีกด้วย
รวมถึงการเชื่อมโยงกับ Trendy Wash ระบบตรวจสอบสถานะการซักผ้าของเครื่องซักผ้าภายในโครงการเพื่อตรวจสอบว่าเครื่องว่างพร้อมใช้งานหรือไม่ และระบบใช้เงินดิจิทัลแทนการหยอดเหรียญ พร้อมกับแจ้งเตือนเมื่อเครื่องซักผ้าทำงานเสร็จ ซึ่งนำร่องให้บริการแล้วใน 10 โครงการ ในกลุ่ม D CONDO และ THE LINE และได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า นอกจากนี้ ยังร่วมด้วยฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกของแต่ละโครงการ อาทิ สิทธิประโยชน์จาก Sansiri Family การควบคุมระบบ Home Automation ระบบตรวจสอบคิวลิฟต์จอดรถอัตโนมัติ ระบบควบคุม Smart Locker ระบบจอง Smart Move หมายเลขโทรศัพท์ที่เป็นประโยชน์รอบ ๆ โครงการ รวมถึงห้องแชตกับนิติบุคคลได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยได้อัปเกรดเทคโนโลยีแชตบอตมาช่วยตอบคำถามในช่วงนอกเวลาทำการ
“โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน Home Service เวอร์ชัน 2018 ให้ลูกบ้านแสนสิริ ได้ทดลองใช้บางฟีเจอร์มีผู้ดาวน์โหลดไปใช้แล้วกว่า 10,000 ราย และได้มีการรวบรวมคำแนะนำติชมจากลูกค้ามาปรับปรุงระบบอยู่ตลอดเวลา และในอนาคต จะมีการพัฒนาต่อยอดฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจับมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อมอบข้อเสนอพิเศษให้กับลูกบ้าน การเชื่อมโยงฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ภายในโครงการ อาทิ Video Door Phone การนำเสนอคอนเทนต์ด้านไลฟ์สไตล์ การเพิ่มฟังก์ชันระบุพิกัดตำแหน่งในอาคารด้วยเทคโนโลยี iBeacon เลือกซื้อโครงการใหม่ ๆ ในเมนู Online Booking อัปเกรดฟังก์ชันบ้านด้วย Home Upgrade Program ระบบนัดหมายแจ้งซ่อม และจองที่นั่งร่วมกิจกรรมโครงการในฟังก์ชั่น E-Appointment + My Calendar รวมทั้ง Rental management ซึ่งเป็นปล่อยเช่าที่ครบวงจร โดยผู้ปล่อยเช่า สามารถดูข้อมูลติดต่อของผู้เช่า กำหนดค่าเช่า เรียกเก็บค่าเช่า ผ่านระบบ e-Wallet และผู้เช่า โดยอนาคต ยังมีแผนสร้างการเชื่อมโยงกับภาคการเงิน และฟินเทค เพื่อให้บริการต่าง ๆ เช่น การขอสินเชื่อบ้าน การรีไฟแนนซ์ การทำประกันที่อยู่อาศัย ตลอดจนการพัฒนาให้ Home Service เป็น Open Platform ที่สามารถนำไปใช้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ได้” นายจิรพัฒน์ กล่าว
LPN ส่งแอป LPN SHARE ประเดิม “คาร์พูล” ย้ำ “ชุมชนน่าอยู่”
“แอล.พี.เอ็น.ฯ” เป็นอีกหนึ่งบริษัทอสังหาฯ ที่นำ Prop tech เข้ามาเสริมเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า เพื่อยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยในโครงการห้องชุด คอนโดมิเนียม นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ผู้พัฒนาอาคารชุดพักอาศัยแบรนด์ “ลุมพินี” กล่าวว่า ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน LPN SHARE เพื่อตอกย้ำความเป็น “ชุมชนน่าอยู่” ภายใต้วัฒนธรรม “ร่วมใจ ห่วงใย แบ่งปัน” ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยและกลยุทธ์เพื่อสังคมของบริษัท
สำหรับฟีเจอร์แรกที่จะบรรจุในแอพพลิเคชันดังกล่าว คือ ฟีเจอร์ “คาร์พูล” (Carpool) ชื่อ “LPN SHARE by LILUNA” (แอลพีเอ็น แชร์ บาย ลิลูน่า) ซึ่ง LPN ได้จับมือกับสตาร์ทอัป ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน LILUNA (ลิลูน่า) เพื่อพัฒนาบริการ “คาร์พูล” ให้กับเจ้าของร่วมคอนโดลุมพีนี ซึ่งขณะนี้ได้ทดลองให้บริการเป็นแห่งแรกที่โครงการลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา โดยเป็นหนึ่งในแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่เน้นคุณค่าของการบริการ (Service Value) และมุ่งมั่นกับการสร้าง “ชุมชนน่าอยู่”
ระบบคาร์พูลเป็นระบบการเดินทางที่ใช้รถร่วมกันเพื่อโดยสารในเส้นทางเดียวกัน แบบ “ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน” ซึ่งแคมเปญคาร์พูลนี้ ก็ได้มีการรณรงค์ในประเทศไทยมาพอสมควร จนคนไทยคุ้นเคยกันดีกับคำว่า “คาร์พูล” ดังนั้น การเลือกฟีเจอร์ด้วยระบบคาร์พูล จึงเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคย และเหมาะสมกับชุมชนใหญ่อย่าง “ลุมพินี” ที่จะใช้ระบบดังกล่าวเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ประกอบกับ LPN-LILUNA มีนโยบายตรงกันในด้านการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน (CARE & SHARE) ภายใต้วัฒนธรรมที่ดีในการอยู่อาศัย “ร่วมใจ ห่วงใย แบ่งปัน” เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ดี
“ที่สำคัญ การใช้ระบบคาร์พูลยังช่วยให้เจ้าของร่วมใน “ลุมพินี” ได้รู้จักกันมากขึ้น เป็นการกระชับความสัมพันธ์ของคนในชุมชน สร้างมิตรภาพใหม่ ๆ ระหว่างการเดินทาง ก่อเกิดเป็นสายใยเชื่อมความสัมพันธ์ใหม่ที่ดีงาม อีกทั้งยังเป็นการลดการใช้รถยนต์ พลังงาน และปัญหาการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนอีกด้วย” นายโอภาส กล่าว