อนันดาฯ เชื่ออีก 10 ปี ตลาดอสังหาฯ ถึงจุดอิ่มตัว เหตุประชากรไม่ขยาย รายเล็กอยู่รอดเหตุเข้าถึงลูกค้าได้ดีกว่า ขณะที่รายใหญ่ขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศมากขึ้น หนุนรัฐใช้ฐานข้อมูล Blockchain รวบรวมโฉนด ผังเมือง เอื้อตัดสินใจลงทุน ล่าสุด เตรียมจัดงาน ร่วมกับ Singularity University จัดงานสัมมนา “SingularityU Thailand Summit 2018”
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะถึงจุดอิ่มตัวในอีก 10 ปี จากจำนวนประชากรที่ไม่ได้ขยายตัวมากนัก ซึ่งผู้ประกอบการรายเล็กอาจจะมีโอกาสอยู่รอด มากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่เนื่องจากสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ดีกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่วนกรณีที่มีซัปพลายด์ของที่อยู่อาศัยในตลาดเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องไปหาฐานลูกค้าในต่างประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของผู้ประกอบการ คือ ฐานข้อมูล และเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการลงทุนที่จะเกิดขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้หารือกับภาครัฐในเรื่องของการเผยแพร่ข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยการใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่รวบรวมเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน ผังเมือง คำขอก่อสร้างโครงการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการหรือบุคคลทั่วไปรับรู้ เข้าถึงข้อมูลได้ และนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการประกอบธุรกิจได้ รวมถึงจะช่วยทำให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ และการทำธุรกรรมต่าง ๆ เหมือนกับประเทศในยุโรป และสหรัฐฯ ที่ได้ทำมาก่อนหน้านี้แล้ว
ล่าสุด บริษัท เอกซ์โพเนนเชียล วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของอนันดาฯ ได้ใช้งบลงทุน 70 ล้านบาท ในการจัดสัมมนาร่วมกับ Singularity University จัดงานสัมมนา “SingularityU Thailand Summit 2018” ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นงานสัมมนาที่รวบรวมกลุ่มนักคิด และผู้นำด้านนวัตกรรมระดับโลก เพื่อสัมมนาเพิ่มโอกาสในการนำเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบแบบก้าวกระโดดสู่การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ระบบเศรษฐกิจของโลกเรา และชีวิตประจำวัน สำหรับงานสัมมนา SingularityU Thailand Summit 2018 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรม InterContinental Bangkok กรุงเทพฯ
ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังประเด็น เช่น อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) อนาคตของวงการแพทย์ยุคดิจิทัลอนาคตของอุตสาหกรรมพลังงาน รวมถึงอนาคตของอุตสาหกรรมการเงินและการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ระดับโลก ซึ่งอยากให้ภาครัฐได้เข้าร่วมรับฟัง ซึ่งจะสามารถช่วยพัฒนาประเทศได้ด้วย โดยจำหน่ายบัตรเข้าร่วมงานราคา 50,000 บาทต่อที่นั่ง จำนวน 550 ที่นั่ง โดยคาดหวังจะสามารถให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับความรู้ และมีแนวคิดไปต่อยอดการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อธุรกิจ และการใช้ชีวิตในอนาคต
ดร. จอห์น เลสลี่ มิลลาร์ จาก บริษัท เอกซ์โพเนนเชียลฯ กล่าวว่า นับตั้งแต่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2551 Singularity University ได้ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของชุมชนนวัตกรรมระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านบวกให้กับโลกผ่านกระบวนการคิดแบบก้าวกระโดด และการรับมือกับความท้าทายระดับโลก งานสัมมนา SingularityU จึงเป็นที่รู้จักในฐานะการเป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และวิธีการแก้ ไขที่แท้จริง เป็นระยะเวลาเกือบทศวรรษ ที่กิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้ SingularityU ได้รวบรวมบรรดาผู้นำและผู้เชี่ยวชาญแถวหน้ามารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการประชุมหรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด และการลงมือทำอันจะก่อให้เกิดผลกระทบอันแท้จริงต่อธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรม สังคม และชุมชนโลก
ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังการพูดคุยถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) อนาคตของวงการแพทย์ยุคดิจิทัล อนาคตของอุตสาหกรรมพลังงาน รวมถึงอนาคตของอุตสาหกรรมการเงิน และการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ระดับโลก
“ถึงเวลาแล้วสำหรับพวกเราในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะต้องตระหนักถึงศักยภาพของเรา และยกระดับตัวเราเองให้ไปไกลกว่าการเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมของภูมิภาค มุ่งสู่การเป็นศูนย์รวมนักคิด และกลุ่มนวัตกรรม สำหรับประเทศไทย สิ่งที่เร่งด่วนในตอนนี้ คือ การเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค เพื่อใช้ประโยชน์จาก ‘ไทยแลนด์ 4.0’ โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการคิดในเชิงกลยุทธ์ไปสู่แนวทางที่ใช้ได้จริงสำหรับการรับมือกับปัญหา และความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคต” ดร. มิลลาร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนแรกที่ต้องดำเนินการ คือ การมีส่วนช่วยผู้นำทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชน ให้เข้าใจว่า เทคโนโลยีที่มีผลกระทบอย่างก้าวกระโดดคืออะไร เหตุใด สิ่งนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ของโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้ ด้วยแนวทางการคิดอย่างก้าวกระโดด หากเราสามารถค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ในอาณาเขตที่ไกลกว่าที่เราคุ้นเคย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงสำหรับประเทศไทย และภูมิภาค นอกจากนี้ จุดมุ่งหมายของเรา คือ การที่งานสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสในการร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในอนาคต ทั้งในระดับโลก และระดับภูมิภาค