สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค แจ้งผลการดำเนินงานปี 60 มีรายได้รวม 133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และกำไรสุทธิ 287.8 ล้านบาท จากเดิมขาดทุนอยู่ 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% จากการบุ๊กกำไรจากการขายธุรกิจสุขภัณฑ์ ด้าน CEO เผยเดินหน้าปรับโครงสร้าง 3 ธุรกิจใหม่ ประกาศยก ธุรกิจเทรดดิ้ง เป็น Core Business เหตุมาร์จิ้นดี คาดจะเป็นตัวทำรายได้ พร้อมดันธุรกิจรีไซเคิล และธุรกิจมีเดีย เสริมทัพขยายโอกาสการลงทุนในธุรกิจ ตอกย้ำกำไรจากการดำเนินงานปี 61 พุ่งทะยานต่อเนื่อง
นายกฤช เอทเตอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค จํากัด (มหาชน) หรือ STAR เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ว่า “หลังจากที่บริษัทฯได้มีการตัดขายธุรกิจสุขภัณฑ์ออกไปในกลางปี 2560 บริษัทฯ สามารถบันทึกกำไรจากการขายธุรกิจดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 276.8 ล้านบาทซึ่งเงินสดที่ได้รับส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้ลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลในประเทศออสเตรเลียออกมาจากกระบวนการฟื้นฟูในราคาที่ต่ำ ราคาที่ซื้อมาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมที่ประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ ทำให้บริษัทมีกำไรจากการซื้อกิจการครั้งนี้อีก 101 ล้านบาท” นายกฤช กล่าว
นายกฤช กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ธุรกิจของ STAR ประกอบด้วย 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจเทรดดิ้ง ซึ่งจะเป็นธุรกิจหลักที่บริษัทฯ มีแผนร่วมเข้ารับช่วงงานในโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้จัดหาวัสดุก่อสร้าง อาทิ เหล็ก และให้บริการงานที่ปรึกษาด้านอื่น ๆ ให้กับบริษัทรับเหมา ซึ่งการที่บริษัทฯ เป็นทั้งผู้ให้บริการ และเป็นผู้จัดหาวัสดุ จะส่งผลให้บริษัทฯ มีมาร์จิ้นที่สูงขึ้นกว่าการทำธุรกรรมซื้อมาขายไปธรรมดา
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เข้าดำเนินการในธุรกิจรีไซเคิลในประเทศออสเตรเลีย ที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ในบริษัท Star Shenton Energy Pty., Ltd. (Shenton) จำนวน 60% อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาหาช่องทางลงทุนเพิ่มเพื่อให้ธุรกิจนี้ครบวงจร โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวมีอายุสัมปทาน 20 ปี โดยประเทศออสเตรเลีย มีปริมาณขยะรวมกันประมาณ 50 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 2 ตันต่อประชากรหนึ่งคนต่อปี (MRA Consulting, 2016) และหากพิจารณาเฉพาะบริเวณเมือง Perth, Western Australia ที่บริษัท Star Shenton Energy Pty Ltd ตั้งอยู่นั้น ปริมาณขยะรวมอยู่ที่ประมาณ 7-8 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 2.6 ตันต่อประชากรหนึ่งคนต่อปี ซึ่งนับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ โดยปริมาณขยะนี้เพิ่มสูงขึ้นทุก ๆ ปี และด้วยเหตุนี้ ความต้องการด้านบริหารและจัดการด้านขยะจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงเป็นที่มาการลงทุนธุรกิจรีไซเคิลดังกล่าว
สุดท้าย คือ ธุรกิจด้านมีเดียภายใต้บริษัท สตาร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด ที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ 100% ซึ่งจากเดิมธุรกิจดังกล่าวมีสัมปทานป้าย Mupi ที่ จ. ภูเก็ต ดังนั้น บริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มช่องทางการตลาด โดยขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร เพื่อเข้าไปให้บริการติดตั้งป้ายโฆษณา จำนวน 300 ป้ายทั่วกรุงเทพมหานคร ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ และหากว่าดีลการเจรจาสำเร็จ STAR จะใช้งบลงทุนในครั้งนี้ประมาณ 150 ล้านบาท
นอกจากนี้ นายกฤช กล่าวเพิ่มว่า สำหรับเม็ดเงินลงทุนในปี 2561 มาจากการเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ตามมติผู้ถือหุ้นในช่วงก่อนหน้านี้ ดังนั้น จึงมั่นใจว่าปี 2561 จะเป็นปีแห่งการทยอยเก็บเกี่ยวกำไรจากการประกอบการอย่างแท้จริง
“ธุรกิจเทรดดิ้งเป็นหนึ่งในธุรกิจเดิมของ STAR อยู่แล้ว ในเมื่อบริษัทฯ ได้มีการขายธุรกิจหลักดั้งเดิม คือเครื่องสุขภัณฑ์ ออกไปช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการจึงเล็งเห็นว่า ควรปรับธุรกิจด้านเทรดดิ้งขึ้นมาให้เป็น Core Business แทน เนื่องจากธุรกิจด้านเทรดดิ้ง สามารถเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นที่ดีเมื่อทำควบคู่ไปกับการให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวโยง ซึ่งจะเป็นผลดีในเชิงบวกของบริษัทฯ ขณะที่ธุรกิจมี่เดียที่ Star เคยมีอยู่นั้น ก็จะขยายให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมทั้งยังเสริมทัพด้วยธุรกิจรีไซเคิลในประเทศออสเตรเลียด้วย” นายกฤช กล่าว