ประธานบอร์ด ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ เผยเป้ารายได้ปี 2560 คาดเติบโตไม่น้อยกว่า 15% เทียบจากปีก่อนหน้า ผุด Self-Storage พื้นที่ให้เช่าจัดเก็บสินค้า ตั้งเป้าขยายอย่างน้อยปีละ 1 แห่ง พร้อมแสวงหาช่องทางการลงทุนอื่น ๆ เช่น E-FULFILLMENT CENTER, การกระจายสินค้า เข้ามารองรับกลุ่มธุรกิจ e-commerce และกลุ่มผู้ใช้บริการที่ต้องการ storage on demand ในอนาคต แนะรัฐแก้เกณฑ์ธุรกิจขนส่ง และระบบไอที เพื่อความทันสมัยเทียบเท่าต่างประเทศ
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการลอจิสติกส์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมการที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการยื่นเสนอข้อมูลต่อทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ซึ่งตั้งเป้าในการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนขยายธุรกิจการให้บริการลอจิสติกส์ครบวงจรทั้งใน และต่างประเทศ
“มูลค่าระดมทุนที่ตั้งไว้ 50 ล้านหุ้น หลัก ๆ คือ จะนำมาใช้ขยายงานให้บริการลอจิสติกส์ครบวงจร เช่น โครงการ Leo Self-Storage & E-Fulfillment Center เพื่อให้เช่าพื้นที่จัดเก็บสินค้า โครงการขยายพื้นที่บริการรับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ โครงการพัฒนาระบบขนส่งผ่านแดนไปยังประเทศเมียนมา และใช้เป็นเงินทุนสำหรับการร่วมธุรกิจกับบริษัทพันธมิตรทั้งในประเทศ และกลุ่มประเทศ AEC ในอนาคต ส่วนที่เหลือจากการระดมทุนจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาธุรกิจลอจิสติกส์ต่อไปในอนาคต”
ขณะเดียวกัน ในส่วนของรายได้ และผลการดำเนินงานในปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 1,062.40 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 31.12 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในส่วนของประมาณการรายได้จากผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตจากปีที่แล้วไม่น้อยกว่า 15% (จากรายได้ในปี 2559 ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน จำนวน 100.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น และทุนที่ได้ทำการเรียกชำระแล้ว จำนวน 75.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 150.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น
ด้านธุรกิจ Self Storage ที่บริษัทได้เริ่มเปิดให้บริการนั้น สำหรับในปีแรกได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 50% และเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ในปีถัดไป ขณะที่ในส่วนของการใช้พื้นที่ซึ่งได้ใช้งบลงทุนในการดำเนินการเฉลี่ยประมาณ 10-20 ล้านบาท ตามขนาดของพื้นที่ โดยจะเน้นพื้นที่ใช้สอยในการเก็บสินค้าเฉพาะบุคคล และ SMEs เป็นหลัก พร้อมทั้งเตรียมวางแผนที่จะขยายสาขาอย่างน้อยปีละ 1 สาขา ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งบริษัทฯ ประเมินสัดส่วนของรายได้ในธุรกิจ Self Storage จะอยู่ที่ประมาณ 60-80 ล้านบาทต่อปี และได้มีการวางแผนที่จะขยายธุรกิจออกไปยังเขตพื้นที่ชุมชนย่านธุรกิจ เช่น สีลม และสาธร ขณะเดียวกัน ก็ยังได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายสาขา Self Storage ไปยังต่างจังหวัด โดยช่วงแรกจะเน้นกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน ต่อจากนั้นจะขยายไปยังจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี ฯลฯ ต่อไป
“บริษัทยังได้เตรียมที่จะเซ็นสัญญาร่วมธุรกิจกับทาง บริษัท เอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส จำกัด ในการบรรจุ และจัดส่งสินค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งบริษัทยังได้เตรียมที่จะแสวงหาช่องทางการลงทุนอื่น ๆ เช่น E-FULFILLMENT CENTER, การกระจายสินค้า เข้ามารองรับกลุ่มธุรกิจ e-commerce และกลุ่มผู้ใช้บริการที่ต้องการ storage on demand ในอนาคต”
ขณะที่ในส่วนของภาพรวมธุรกิจลอจิสติกส์ในขณะนี้ มองว่ามีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการ คือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลหลักที่ใช้อ้างอิง ได้แก่ เงินดอลลาร์สหรัฐที่มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการส่งออกได้รับความเสียหายจากอัตราแลกเปลี่ยน และมีรายได้ที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าในอนาคตภายใน 3-5 ปี ธุรกิจลอจิสติกส์จะมีการเติบโตที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนในการเข้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาค กลุ่มประเทศ AEC เข้าด้วยกัน
“สิ่งที่รัฐบาลพยายามลงทุนให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน มีความสำคัญอย่างมากในการผลักดันอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ แต่ก็ยังมีปัญหาด้านระบบเทคโนโลยี และกฎเกณฑ์ข้อบังคับในปัจจุบันหลายอย่าง ที่ยังคงล้าหลัง ไม่เอื้ออำนวยต่อสภาพแวดล้อมการทำธุรกิจในปัจจุบันเช่นข้อบังคับการขนส่งสินค้าผ่านแดนไปยังประเทศที่ 3 ยังมีความล่าช้า และติดปัญหาในด้านศุลกากรการระวางภาษี ซึ่งประเทศอื่น ๆ ที่มีการขนส่งในลักษณะเดียวกับประเทศไทย เช่น ลาว มาเลเซีย ไม่มีกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งใช้เวลานานในการตรวจสอบ”