xs
xsm
sm
md
lg

สรุปการเคลื่อนไหวและปัจจัยไฮไลต์ที่ส่งผลต่อราคาทองคำครึ่งปีแรก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ผ่านไปครึ่งทางแล้วสำหรับปี 2017 เรียกได้ว่าปีนี้มีปัจจัยใหม่ ๆ ทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบ เข้ามาส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาให้ลงทุนทองคำได้หวือหวากันพอสมควร โดยราคาทองคำช่วงต้นปีเปิดตลาดที่ระดับ 1,151.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และปิดตลาดในวันที่ 30 มิ.ย. ที่ระดับ 1,241.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถือว่านับตั้งแต่ต้นปีราคาทองคำยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกเกือบ 8% หรือ 89.55 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ในระหว่างครึ่งปีแรกราคาทองคำพุ่งขึ้นทดสอบบริเวณ 1,295 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ถึง 2 ครั้งก่อนจะปรับตัวลงในเวลาต่อมา โดยวันนี้ทาง YLG จะมาประมวลไฮไลต์ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก

ไฮไลต์ในช่วงครึ่งปีแรกที่ช่วยหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุด ได้แก่ ความขัดแย้งทางด้านการเมืองในคาบสมุทรเกาหลีจากทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ประกอบกับความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งของหลายประเทศในยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และล่าสุด คือ อังกฤษที่ผลการเลือกตั้งอาจส่งผลต่อเนื่องให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจา Brexit ยังเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลในเชิงบวกต่อราคาทองคำเช่นกัน

และอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงเดือน พ.ค. ได้แก่ ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความตกตะลึงด้วยการลงนามสั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ ออกจากตำแหน่งแบบสายฟ้าแลบ ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเผชิญกับการสอบสวนในประเด็นแทรกแซงการสอบสวนของรัฐบาลกลาง และก่อให้เกิดความกังวลว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐฯ อาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการปฏิรูปภาษี

เรียกได้ว่า ปัจจัยเหล่านี้เรียกแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2017 และส่งผลหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดบริเวณ 1,295 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า เมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นก็เกิดแรงขายกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงเป็นระยะเช่นกัน โดยไฮไลต์ในช่วงครึ่งปีแรกที่กดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลงแรงมากที่สุด ได้แก่ การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed พร้อมส่งสัญญาณปรับลดขนาดงบดุล Fed ในปีนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาทองคำให้ร่วงลงจากระดับสูงสุดของปี

นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายหลังจากผลการเลือกตั้งในยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศสที่ผู้นำพรรคสายกลางได้รับชัยชนะเหนือพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด ซึ่งสร้างแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลง

ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมีอีกหลากหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม โดยในสัปดาห์หน้า YLG จะมาสรุปปัจจัยที่ต้องติดตามพร้อมทั้งกลยุทธ์ในการลงทุนเพื่อให้นักลงทุนได้เตรียมพร้อมปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรับมือกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น