“ออริจิ้น” พร้อมเดินหน้าเปิดขายคอนโดมิเนียม 4 โครงการใหม่ โครงการเคนซิงตัน สุขุมวิท-เทพารักษ์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 เฟส 2 มูลค่า 1,300 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 2,100 ล้านบาท หวังดันยอดขายครึ่งปีแรกแตะ 5,000 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีสต๊อกยอดขายรอรับรู้รายได้ในมือ 14,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยรับรู้ในปีนี้บางส่วน สำหรับในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายแล้ว1,000 ล้านบาทเศษ และในไตรมาสนี้ตั้งเป้าว่า จะมียอดขายเข้ามาเพิ่มอีก 4,000 ล้านบาท จากการเปิดขาย 4 โครงการใหม่ ซึ่งจะทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะมียอดขายรวมที่ 5,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการใหม่ทั้ง 4 โครงการมูลค่ารวม 8,400 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลให้แก่ลูกค้า VIP ในวันที่ 17 มิ.ย. ได้แก่ โครงการเคนซิงตัน สุขุมวิท-เทพารักษ์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 2,500 ล้านบาท โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 เฟส 2 มูลค่า 1,300 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 2,100 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นโครงการห้องชุดสูง 15 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 726 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท สำหรับทำเลที่ตั้งของโครงการดังกล่าวถือว่าเป็นทำเลศักยภาพ และเป็นที่เลที่มีอัตราการขยายตัวของดีมาน์ในทำเลสูงมาก ภายหลังรัฐบาลมีโครงการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีเขียว และสายสีชมพู
“การลงทุนของรัฐบาลส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อที่อยู่อาศัยทำเลย่านเกษตร-สะพานใหม่ เปลี่ยนไปเลือกซื้อคอนโดมิเนียมมากขึ้น จากเดิมที่นิยมซื้อบ้านเดี่ยว หรือทาวน์เฮาส์เป็นหลัก เนื่องจากมองว่าคอนโดเป็นที่อยู่อาศัยที่ฟุ่มเฟือย แต่หลังโครงการรถไฟฟ้าเกิดขึ้น ทำให้ความต้องการผู้บริโภคเปลี่ยนไป สังเกตได้จากการตอบรับในโครงการห้องชุดที่บริษัทเปิดขายในทำเลดังกล่าวที่ผ่าน 7 โครงการ มียอดขายมากกว่าร้อยละ 70 ในทุกโครงการ โดยมี 2 โครงการที่ปิดการขายไปแล้ว”
ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการที่ 8 ในทำเลย่านเกษตร-สะพานใหม่ เพื่อรองรับดีมานด์ที่ยังมีอยู่จำนวนมาก แต่ซัปพลายในพื้นที่มีจำกัด เพราะที่ดินในทำเลนี้หายาก ราคามีการปรับตัวสูง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาขายที่ดินปรับขึ้นเท่าตัวจาก 150,000 บาทต่อตารางวา ขึ้นมาเป็น 300,000 บาทต่อตารางวา เพราะผังเมืองในพื้นที่เป็นสีน้ำเงิน ที่ดินโดยมากเป็นของหน่วยงานราชการ ขณะที่ลูกค้าในทำเลดังกล่าวมีกำลังซื้อสูง ทำให้อัตราการระบายออกในทำเลดีมาก