กรมศุลฯ กางหลักฐานมัดเอ็นจีวี SUNLONG จำนวน 489 คัน สำแดงเท็จนำเข้า ย้ำชัด “ซุปเปอร์ซาร่า” บ.ลูกของ “เบสทริน” ต้องจ่ายภาษี และค่าปรับ 948 ล้านบาทก่อน ถึงจะปล่อยรถที่อายัดไว้ จับตา “เบสท์ริน” ที่เป็น บ.แม่ต้องกัดฟันทำตาม กม. แต่อาจขอเวลา 2-3 วัน บอร์ดรถเมล์ผวาคุก ไม่กล้ารับมอบ เตรียมถกใหญ่ 21 ธ.ค.นี้ เพื่อหาทางออก คาดแผนวิ่งต้อนรับปีใหม่ส่อเค้าเหลว
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าวความคืบหน้ากรณีการนำเข้ารถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (เอ็นจีวี) ของบริษัท ซุปเปอร์ซาร่า จำกัด วานนี้ (13 ธ.ค.) โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่กรมได้หารือร่วมกับตัวแทนบริษัทซุปเปอร์ซาร่าฯ ถึงการตรวจสอบภาษีนำเข้ารถเอ็นจีวี รวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อดูเส้นทางการนำเข้าพบรถยนต์ในล็อตแรกที่แจ้งนำเข้า 100 คันนั้น พบว่า เป็นการนำเข้าจากจีน โดยขั้นตอนการขนส่งโดยมีการบรรทุกรถมาทางเรือไปมาเลเซีย เมื่อเทียบท่าเรือที่มาเลเซีย ได้นำรถเอ็นจีวีดังกล่าวไปพักเขตปลอดอากร 7 วัน แล้วจึงนำเข้าไทย ส่วนล็อตที่ 2 นำเข้ามาอีก 389 คันนั้น ยังไม่ผ่านพิธีการศุลกากร
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า บริษัท ซุปเปอร์ซาร่าฯ นำเข้ารถโดยสารปรับอากาศยี่ห้อ SUNLONG รุ่น SLK6129CNG YEAR 2016 จำนวน 489 คัน ซึ่งได้ทยอยส่งออกจากมาเลเซีย มายังไทย 5 เที่ยวเรือ เที่ยวแรก 1 คัน, 99 คัน, 145 คัน, 146 คัน และอีก 98 คัน อยู่ระหว่างการเดินทางจากมาเลเซียมายังไทย โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เที่ยวที่ 1-2 รวม 100 คัน เป็นกลุ่มที่ผ่านพิธีการศุลกากร และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และกลุ่มที่ 2 เที่ยวที่ 3-5 จำนวน 389 คัน ยังไม่ผ่านพิธีการศุลกากร
นอกจากนี้ กรมได้ตรวจสอบพบว่า ก่อนหน้าที่บริษัทในมาเลเซีย R&A COMMERCIAL VEHICLES SDN BHD จะส่งรถเอ็นจีวีดังกล่าวมาไทย ได้นำเข้ารถโดยสารปรับอากาศชนิดเดียวกันจากจีน โดย NORINCO NEW ENERGY CO., LTD. ระบุชื่อผู้ซื้อที่มาเลเซีย คือ R&A COMMERCIAL VEHICLES SDN BHD และพบสินค้านำเข้าเป็นรถยนต์สำเร็จรูป ซึ่งมีจำนวนราคา และน้ำหนักตรงกันกับที่บริษัท R&A COMMERCIAL VEHICLES SDN BHD ส่งมายังไทย มีรายการหมายเลขแซสซีส์ หมายเลขเครื่องยนต์ตรงกัน รวมทั้งแสดงราคาต่อหน่วย และน้ำหนักต่อหน่วยเท่ากัน
ดังนั้น ในกรณีกลุ่มที่ 1 จึงเป็นการสำแดงแหล่งกำเนิดเป็นเท็จอันเป็นความผิดตามกฎหมายศุลกากร ตามมาตรา 99, 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ส่วนกรณีกลุ่มที่ 2 ยังไม่ถือว่าเป็นความผิด เนื่องจากผู้นำเข้ายังไม่ได้ยื่นเอกสารการนำเข้าต่อเจ้าหน้าที่
ดังนั้น บริษัทต้องเสียภาษีในส่วนของการนำเข้า 489 คัน จำนวน 718 ล้านบาท และเสียค่าปรับในส่วนของล็อตแรก 100 คัน ประมาณ 230 ล้านบาท รวมแล้วต้องเสียภาษีรวมค่าปรับประมาณ 948 ล้านบาท
“จากการหารือตัวแทนบริษัทซุปเปอร์ซาร่าฯ ยอมรับว่า มีความเข้าใจที่ผิดพลาดในข้อมูลการนำเข้าจากบริษัทผู้จำหน่ายในมาเลเซีย ซึ่งบริษัทยินดีปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติของกรมศุลกากรทุกประการ โดยขอเวลา 2-3 วัน เตรียมเงินมาจ่ายภาษี และค่าปรับ”
ดังนั้น หากเอกชนเสียภาษี และค่าปรับ หรือมาวางเงินประกัน กรมก็พร้อมปล่อยรถออกไปทันทีภายใน 2-3 วัน เพื่อให้ทันเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนแน่นอน
ขณะนี้กรมยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ส่วนที่บริษัทซุปเปอร์ซาร่าฯ อ้างว่า เข้าใจผิดตอนแรก กรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะถือว่าบริษัทซุปเปอร์ซาร่าฯ จะอยู่ในบัญชีที่ต้องจับตาแล้ว
อย่างไรก็ดี การที่กรมศุลกากรได้จัดให้บริษัทดังกล่าวอยู่ใน Watch List บริษัทที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากเคยมีประวัติการหลีกเลี่ยงภาษี และยืนยันจะไม่มีการฟ้องกลับ เพราะถือเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่
รายงานข่าวระบุว่า บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ได้ส่งเอกสารหลักฐานระบุว่า เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. บริษัทซุปเปอร์ซาร่าฯ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเบสท์ริน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน เพื่อส่งมอบให้กับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ทำหนังสือด่วนไปถึงนายกุลิศ พร้อมสำเนาถึงผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง แจ้งว่า ขอวางเงินประกันภาษีรถยนต์เอ็นจีวี เพื่อนำรถเมล์เอ็นจีวีที่ถูกกรมศุลกากรกักไว้ออกจากท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อขอนำรถไปดำเนินการติดตั้งจีพีเอส และระบบต่างๆ เพื่อส่งมอบให้ ขสมก.ให้ทันภายในวันที่ 29 ธ.ค. ตามเงื่อนไขในสัญญาในการจัดหารถ
ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม แจ้งว่า การจะรับมอบรถเมล์เอ็นจีวี 489 คันดังกล่าว หลายฝ่ายมีความวิตกปัญหาทางข้อกฎหมาย เนื่องจากเอกชนผู้ดำเนินการมีคดีความ และยังไม่แก้ปัญหาคดีด้านภาษีให้ถูกต้อง แม้มีการวางหลักประกันภาษีเพื่อนำรถออกมาวิ่งให้บริการก่อน แต่รถทั้งหมดก็เข้าข่ายเป็นของกลางที่มีการกระทำผิดกฎหมาย จึงทำให้ ขสมก.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐอาจไม่กล้ารับมอบรถที่จัดซื้อครั้งนี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่จะมีการหารือเพื่อหาทางออกในการประชุมบอร์ด ขสมก.
“แม้ว่าเอกชนยอมจ่ายค่าภาษี แต่ ขสมก.จะรับมอบรถดังกล่าวต้องพิจารณาให้ดี หากเป็นรถที่ผิดกฎหมาย ขสมก.จะรับมอบได้อย่างไร ทั้งนี้ ต้องดูที่เจตนาของบริษัทด้วย แต่ไม่ควรเอาประชาชนมาเป็นตัวประกันให้ปัญหาดังกล่าว”
แหล่งข่าวระบุอีกว่า ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ จะมีการประชุมบอร์ด ขสมก. เพื่อเสนอให้ฝ่ายบริหารหาทางออกกรณีไม่สามารถจัดหารถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน นำเข้ามาให้บริการได้ตามแผนที่กำหนด แม้เป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ต้องการเร่งรัดให้นำรถเมล์ใหม่เข้ามาวิ่งให้บริการ โดยหากต้องยกเลิกสัญญาการจัดหารถเมล์ในครั้งนี้ ก็เป็นไปได้ที่จะล้มเลิกโครงการรถเมล์เอ็นจีวี เพื่อจัดหารถเมล์ประเภทอื่นๆ แทน
ส่วนขั้นตอนการยกเลิกสัญญาบริษัท เบสท์รินฯ นั้น จะเป็นไปตามกระบวนการ โดยเริ่มจากรอให้ครบกำหนดวันที่ 29 ธ.ค.ก่อน หากบริษัทไม่สามารถส่งมอบรถได้ จึงถือว่ามีการทำผิดสัญญา ซึ่ง ขสมก.ต้องทำหนังสือแจ้งเตือน และปรับเงินตามสัญญาก่อนไปสู่ขั้นตอนการบอกเลิกสัญญา แต่หาก ขสมก.บอกเลิกสัญญาก่อน ก็อาจเปิดช่องให้เอกชนสามารถฟ้องร้องได้เช่นกัน
“ก่อนอนุมัติให้ว่าจ้างเบสท์ริน จัดหารถดังกล่าว ที่ประชุมบอร์ด ขสมก.มีการหยิบยกประเด็นที่ศาลภาษีอากรกลางได้พิพากษาให้ปรับเบส์ทริน ให้ชำระภาษีให้กรมศุลกากร และกรมสรรพากร เนื่องจากการสำแดงเท็จราคารถนำเข้าจากจีน เมื่อปี 2459-2550 มาแล้วว่า อาจทำให้เกิดปัญหาบังคับทางกฎหมาย แต่ในที่สุดบอร์ด ขสมก.ยืนยันเดินหน้าให้มีการลงนามในสัญญา” รายงานระบุ
ด้าน นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมช.คมนาคม กล่าวในเรื่องนี้ว่า ต้องติดตามการดำเนินการขั้นตอนตามกฎหมายว่า สุดท้ายกรมศุลกากรจะยอมปล่อยรถให้แก่บริษัทเบสท์รินฯ หรือไม่ โดยหากมีการปล่อยรถออกมา ขสมก.ก็สามารถรับมอบรถได้ แต่ยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลให้การดำเนินการนำรถเมล์มาวิ่งให้บริการเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่คนไทยในปี 2560 ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้