เจริญโภคภัณฑ์อาหาร ไตรมาส 3 ปีนี้เติบโต 45% ผลดีจากกิจการในต่างประเทศเติบโตตามเป้าหมาย และบางประเทศโดดเด่น มั่นใจปีนี้ไม่พลาดเป้า มองระยะยาว รัสเซีย อินเดีย และฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีโอกาสทางธุรกิจ และมีศักยภาพในการเสริมการเติบโตของซีพีเอฟ ในอนาคต
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แจ้งผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 122,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว 10% และมีกำไรสุทธิ 5,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เป็นผลให้มีรายได้จากการขายงวด 9 เดือน รวม 344,839 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 12,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งกำไรส่วนใหญ่มาจากการขยายการลงทุนในต่างประเทศ
สำหรับโครงสร้างรายได้จากการขายนั้น กิจการต่างประเทศ และกิจการส่งออกจากประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วน 68% ของรายได้จากการขาย โดยกิจการในประเทศเวียดนาม มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และประเทศอื่นๆ ได้มีผลการดำเนินงานตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สำหรับการขายในประเทศไทยที่มีสัดส่วน 32% ของรายได้จากการขายรวมนั้น มีผลการดำเนินงานโดยรวมดีขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากธุรกิจสัตว์บก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ในประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะปกติจากภาวะผลผลิตล้นตลาดในปีที่ผ่านมา และการฟื้นตัวต่อเนื่องของธุรกิจสัตว์น้ำจากผลกระทบจากโรคระบาด EMS (Early Mortality Syndrome) ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทั้งด้านการขาย และบริหาร รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการเงินให้ลดลง ทำให้ซีพีเอฟ มีกำไรสุทธิ 9 เดือน เพิ่มขึ้น 36% จากปีที่ผ่านมา
นายอดิเรก กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า น่าจะเป็นไปตามที่ได้วางเป้าหมายไว้จากการเติบโตของกิจการในต่างประเทศที่บริษัทได้มีการขยายการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา อย่างมาก และจะเป็นส่วนหลักในการผลักดันการเติบโตของซีพีเอฟ ต่อไปในอนาคต โดยปีนี้ธุรกิจในประเทศจีน และประเทศเวียดนาม ซึ่งมียอดขายรวมกันคิดเป็น 39% ยังคงเป็นประเทศหลักในการผลักดันการเติบโต แต่ในระยะยาวนั้น มองว่าประเทศรัสเซีย ประเทศอินเดีย และประเทศฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีโอกาสทางธุรกิจ และมีศักยภาพในการเสริมการเติบโตของซีพีเอฟ ในอนาคต
โดยภายใต้แนวคิดในการทำธุรกิจเพื่อสร้างสินค้าอาหารจากโปรตีนเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ซีพีเอฟ ได้มีกลยุทธ์หลักในการขยายธุรกิจ คือ การขยายการลงทุนไปยังประเทศที่มีศักยภาพในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และอาหาร โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อช่วยสนับสนุนประเทศต่างๆ นั้น ให้มีกระบวนการเลี้ยงสัตว์ที่ทันสมัย อันจะส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าเนื้อสัตว์ที่ดี สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว บริษัทมองหาโอกาสในการลงทุนในธุรกิจปลายน้ำ หรือธุรกิจอาหารเพิ่มมูลค่า โดยการลงทุนของซีพีเอฟ ได้มองโอกาสของการเข้าซื้อกิจการ เพราะจะช่วยเสริมการเติบโตได้เร็วขึ้นกว่าการเข้าไปลงทุนสร้างกิจการเอง โดยยึดหลักว่า กิจการที่เข้าไปซื้อจะต้องเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลัก มีผู้บริหารที่ดี และราคาต้องเหมาะสม รวมถึงการมีคุณค่าร่วมในการต่อยอดธุรกิจของซีพีเอฟ