วานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่นักลงทุนทั่วโลกต่างตั้งตารอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ และผลการเลือกตั้งก็เป็นอย่างที่ทุกคนทราบกันว่า นายโดนัล ทรัมป์ สามารถพลิกความคาดหมายด้วยการคว้าชัยชนะเหนือนางฮิลลารี คลินตัน และกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ในที่สุด
การนับคะแนนผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้าของเวลาบ้านเรา ส่งผลให้สินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกมีการเคลื่อนไหวผันผวนตลอดช่วงที่มีการนับคะแนน จะเห็นได้ว่าหลัง นายโดนัล ทรัมป์ มีคะแนนนำทำให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงกันถ้วนหน้า ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงไปกว่า 800 จุด ดอลลาร์ร่วงลงกว่า 3% เมื่อเทียบเยน ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งขึ้นส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน และเปโซเม็กซิโก ร่วงกว่า 13% ซึ่งปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลิดภัยอย่างทองคำให้พ่งุขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ บริเวณ 1,337 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำลดช่วงบวกลงในเวลาต่อมา หลังสกุลเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.ที่ 98.704 จากความคาดหวังของนักลงทุนว่า นโยบายของทรัมป์ จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจ และหนุนภาวะเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทรัมป์ ยืนยันว่าจะยกเลิกการใช้กฎหมายประกันสุขภาพ การผ่อนคลายกฎข้อบังคับของภาคธนาคาร การลดภาษี และกระตุ้นการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 256 จุดหลังนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และกลุ่มอุตสาหกรรม และปัจจัยดังกล่าวกดดันราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยให้ลดช่วงบวกลงในที่สุด
สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตานอกจากนโยบายการบริหารประเทศของทรัมป์แล้ว ก็คือ การดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดซึ่งมีกำหนดในการประชุมครั้งต่อไปในเดือน ธ.ค.นี้ โดยก่อนหน้ามีการฟันธงกันว่า เฟดอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของอนาคตที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปอีก ด้านผลสำรวจความคิดเห็นของเทรดเดอร์ในตลาดการเงินระบุว่า โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 50% จากช่วงก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ 82% และหากเฟดตัดสินชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริงอาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำต่อเนื่องได้
ขณะที่อีกหนึ่งความไม่นอนในเฟดต้องเผชิญก็คือ แนวโน้มที่ว่านางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบันจะไม่ได้รับการต่อวาระการดำรงตำแหน่งหลังจากครบกำหนดในเดือน ก.พ.2018 เพราะทรัมป์ เคยกล่าวว่า หากเขาได้รับชัยชนะ เขาจะไม่ต่อวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดของนางเยลเลน ขณะที่หัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัทแคปิตอล อิโคโนมิกส์ ระบุในรายงานว่า หากนายทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งก็มีความเป็นไปได้ว่านางเยลเลน จะประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นย่อมจะสร้างความวิตกกังวลต่อตลาดการเงินโลกอย่างแน่นอน
ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ทรัมป์ จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ หากทำได้อาจได้เห็นการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงและกดดันทองคำ แต่หากทรัมป์ ไม่สามารถเรียกแรงศรัทธาจากประชาชน และนักลงทุนได้ อีกทั้งยังคงท่าทีแข็งกร้าวจนทำให้เกิดความวิตกกังวลต่ออนาคตของสหรัฐฯ ก็อาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้เช่นกัน