เอเจนซีส์ - โลกตะลึง โดนัลด์ ทรัมป์ ขี่กระแสประชานิยมเข้าทำเนียบขาว ปล่อย ฮิลลารี คลินตัน อกหักซ้ำสอง ขณะที่นักการเมืองสายประชานิยมในหลายประเทศกู่ร้องว่านี่คือชัยชนะของประชาชนเหนือสถาบันการเมืองที่ล้มเหลว ผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ สุดช็อกครั้งนี้ยังทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนเลื่อนลั่นทั่วโลก
“ถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะรักษาบาดแผลแห่งความแตกแยก” ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันประกาศต่อกลุ่มผู้สนับสนุนในนิวยอร์ก หลังผลการนับคะแนนการเลือกตั้งเมื่อวันอังคาร (8) ระบุว่าเขาได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ
“ผมให้สัญญากับทุกคนในประเทศของเรา ว่าผมจะเป็นประธานาธิบดีของคนอเมริกันทั้งหมด”
ทั้งนี้ ระหว่างศึกหาเสียงดุเด็ดเผ็ดร้อนตลอด 2 ปี ที่เปรียบได้กับการชักเย่อโครงสร้างประชาธิปไตยอเมริกัน ทรัมป์ มหาเศรษฐีขี้คุย ประกาศว่า ถ้าได้เป็นประธานาธิบดีจะเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมือง ห้ามมุสลิมเดินทางเข้าอเมริกา และฉีกข้อตกลงการค้าเสรี ซึ่งดูเหมือนจุดยืนเหล่านี้ถูกอกถูกใจอย่างยิ่งสำหรับคนอเมริกันผิวขาว ที่เป็นคนหมู่มากของเมืองลุงแซม และขุ่นเคืองกับพลังและขอบเขตการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจในช่วง 8 ปี ภายใต้ยุคของ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของอเมริกา
ทรัมป์ยังชื่นชมประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย อย่างเปิดเผย และตั้งคำถามเกี่ยวกับการที่อเมริกาให้การสนับสนุนพันธมิตรยุโรปในองค์การสนธิสัญญาปกป้องแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) อีกทั้งแนะนำให้เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองเพื่อลดภาระทางการทหารของสหรัฐฯ
นักธุรกิจผู้นี้ที่ผันตัวเองเป็นพิธีกรรายการทีวี และล่าสุดคือ นักการเมือง กำลังจะขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของประเทศที่เป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก ทั้งที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองแม้แต่น้อย
ผลการเลือกตั้งของอเมริกากระตุ้นให้เกิดการเทขายในตลาดการเงินทั่วโลก หุ้นเทกระจาดตั้งแต่เอเชีย ยันยุโรป และเงินทุนหายวับนับพันล้านดอลลาร์
นอกจากไม่เคยมีประสบการณ์ในตำแหน่งทางการเมืองมาก่อน ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทรัมป์ยังง่วนกับการจัดประกวดนางงาม และการเป็นพิธีกรเรียลิตีโชว์เป็นส่วนใหญ่ นอกเหนือจากการคุมอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ และที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ทรัมป์ ในวัย 70 ปี จะถือเป็นประธานาธิบดีอายุมากที่สุดขณะเข้ารับตำแหน่ง
และแม้ถูกต่อต้านจากสมาชิกอาวุโสในรีพับลิกันด้วยกัน แต่ทรัมป์ยังสามารถฝ่าฟันคู่แข่งที่ทั้งทุนหนากว่า และประสบการณ์มากกว่า กลายเป็นผู้ชนะชนิดขาดลอยในการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาตัวผู้สมัครของพรรค
ระหว่างการหาเสียง เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ต้องเผชิญทั้งข้อกล่าวหาดูถูกดูหมิ่นผู้หญิง และลำบากใจแม้ไม่ถึงอับอายหลังจากถูกปล่อยคลิปเสียงที่ตัวเองคุยเขื่องเรื่องกอดจูบลูบคลำสาวตามอำเภอใจ และที่โดดเด่นเป็นพิเศษในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน คือ ทรัมป์เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนเดียวที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีและการขอคืนภาษี
แต่ท่ามกลางความฉาวโฉ่และพฤติกรรมนอกกรอบเหล่านี้ เขากลับกวาดคะแนนในมลรัฐที่เป็นสมรภูมิสำคัญจากฟลอริดา จนถึงโอไฮโอ และเข้าสู่ทำเนียบขาวสมใจ
ในทางกลับกัน คลินตันที่ผู้คนทั่วสารทิศเชื่อว่าจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้นำหญิงคนแรกของอเมริกานับตั้งแต่ที่ก่อตั้งประเทศมา 240 ปี กลับต้องอกหักซ้ำสอง หลังจากครั้งแรกพ่ายแพ้ให้โอบามาตั้งแต่รอบไพรมารีของพรรคเดโมแครต
อเมริกันชนปฏิเสธเสียงเรียกร้องความเป็นเอกภาพของอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้นี้ แต่กลับไปเทคะแนนให้ทรัมป์ที่ยืนยันว่าอเมริกากำลังแตกเป็นเสี่ยงและเขาเป็นคนเดียวที่สามารถเยียวยาได้
จากการเลือกตั้งคราวนี้ซึ่งมีการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภา และวุฒิสภาราว 1 ใน 3 ด้วย ปรากฏว่ารีพับลิกันยังคงรักษาฐานะมีเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา และด้วยเหตุนี้ทรัมป์ยังจะสามารถแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนที่ 9 ที่ยังว่างอยู่ และผ่านการรับรองของฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นอีกด้วย
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ยังตบหน้าโอบามาอย่างแรง เนื่องจากคืนก่อนเลือกตั้งเขาประกาศกับชาวฟิลาเดลเฟียนับหมื่นคนว่า เขาเดิมพันว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ในอเมริกาจะไม่ลงคะแนนให้คนที่ทำให้ลูกสาวของตนด้อยค่า และผู้สนับสนุนแนวทางอนุรักษนิยมตัวจริงจะไม่ลงคะแนนให้คนที่ไม่เห็นความสำคัญของรัฐธรรมนูญ
ในอีกด้านหนึ่ง ชัยชนะของทรัมป์ยังทำให้รัฐบาลจากเอเชีย ถึงยุโรปตะลึงพรึงเพริด ทว่า ในทางกลับกัน นักประชานิยมอวดอ้างว่าเป็นชัยชนะของประชาชนเหนือสถาบันการเมืองที่ล้มเหลว
เออร์ซูลา วอน เดอร์ เลเยน รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี ที่เป็นพันธมิตรของนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล บอกว่า “ช็อกมาก” และสงสัยว่า “แพ็ก อเมริกานา” หรือการสร้างสันติภาพแบบอเมริกาเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมความสัมพันธ์ของโลกนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง บัดนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่
ฌอง-มาร์ก เอโรต์ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส บอกว่า จะทำงานร่วมกับทรัมป์ แต่สำทับว่า นิสัยส่วนตัวของว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ทำให้เกิดคำถามมากมาย และยอมรับว่าไม่แน่ใจว่านโยบายต่างประเทศสำคัญๆ ของสหรัฐฯ เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน และสงครามในซีเรีย จะเป็นอย่างไรต่อไป
คาร์ล บิลด์ รัฐมนตรีต่างประเทศสวีเดน ทวีตว่า ดูเหมือนปีนี้ตะวันตกจะมีหายนะซ้อนเข้ามาอีก ซึ่งหมายถึงผลเลือกตั้งล่าสุดของอเมริกา และการโหวตออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษเมื่อเดือนมิถุนายน และตบท้ายว่า “คาดเข็มขัดนิรภัยให้ดีล่ะ”
ในทางตรงข้าม นักการเมืองสายประชานิยมจากออสเตรเลีย ถึงฝรั่งเศส ต่างตีปีกกับชัยชนะของทรัมป์ ซึ่งเปรียบเสมือนการตีแสกหน้าสถาบันการเมือง
ฌอง-มารี เลอ เป็นผู้ก่อตั้งพรรคเนชันแนล ฟรอนต์ ของฝรั่งเศส ประกาศว่า “วันนี้อเมริกา พรุ่งนี้อาจถึงทีฝรั่งเศส!”
บีทริกซ์ วอน สตอร์ช รองหัวหน้าพรรคอัลเทอร์เนทีฟ ฟอร์ เยอรมนี ที่ต่อต้านผู้อพยพ สำทับว่า ชัยชนะของทรัมป์เป็นสัญญาณว่าพลเมืองในโลกตะวันตกต้องการการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลหลายชาติในตะวันตกไม่แน่ใจว่าทรัมป์จะทำตามที่หาเสียงไว้หรือไม่หลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกเลิกข้อตกลงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก หรือการเปลี่ยนเงื่อนไขการเจรจากับอิหร่านเรื่องนิวเคลียร์
นอร์เบิร์ต โรเอ็ตต์เจน พันธมิตรสายอนุรักษนิยมของแมร์เคิล และประธานคณะอนุกรรมการวิเทศสัมพันธ์รัฐสภาเยอรมนี ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุท้องถิ่น ว่า สารภาพว่าไม่รู้จริงๆ ว่าประธานาธิบดีคนต่อไปของอเมริกาจะทำอะไร และในทางภูมิรัฐศาสตร์นั้นต้องถือว่า โลกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ความแน่นอนอย่างยิ่ง
ไซมอน ชามา นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง ปิดท้ายว่า ชัยชนะของทรัมป์และการควบคุมรัฐสภาเบ็ดเสร็จของรีพับลิกัน เป็น “แนวโน้มที่น่ากลัวอย่างแท้จริง” เนื่องจากนาโต้จะถูกกดดันให้แตกเป็นเสี่ยง, รัสเซียจะสร้างปัญหา, ประชาชนอเมริกัน 20 ล้านคนจะไม่มีประกันสุขภาพ, นโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะพลิกกลับ, กฎระเบียบการธนาคารจะถูกยกเลิก และอื่นๆ อีกมากมาย
“แน่นอน ทรัมป์ ไม่ใช่ฮิตเลอร์ แต่ผู้นำฟาสซิสม์มีหลายแบบ ผมไม่ได้บอกว่าเขาเป็นนาซี แม้ว่าตอนนี้พวกนีโอนาซีกำลังฉลองกันอย่างครึกครื้นก็ตาม”