xs
xsm
sm
md
lg

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองหุ้นไทย พ.ย.หลายปัจจัยกดดันตลาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินตลาดหุ้น เดือน พ.ย. ยังมีปัจจัยกดดันตลาดและต้องติดตาม ทั้งเรื่องการประชุม FOMC , การเลือกตั้งสหรัฐฯ ราคาน้ำมัน รวมถึงผลประกอบการของ SET แนะนักลงทุนชะลอลงทุนรอดูสถานการณ์ มองกรอบดัชนี SET ที่ 1,410-1,520 / 1,540 จุด หุ้นที่แนะนำ AJD , ERW , KCE , ROBINS , SYNEX , SYNTEC "

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST (Win Udomrachtavanich, Ph.D. Executive Chairman KTB Securities (Thailand ) Co., Ltd.) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นและกลยุทธ์การลงทุนในเดือน พ.ย. ว่า ดัชนี SET Index ในเดือนที่ผ่านมาผันผวนในช่วงวันที่ 10-14 ต.ค. หลังจากนั้น ดัชนีฯ ก็กลับมาซื้อ-ขายที่ระดับประมาณ 1,500 จุด อีกครั้ง อย่างไรก็ตามปัจจัยที่เคยเป็นบวกต่อตลาดเริ่มมีน้อยลง บางปัจจัยพลิกมาเป็นลบเช่น แนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ทำให้นักลงทุนมีการปรับพอร์ต รับดอกเบี้ยสหรัฐฯ และราคาน้ำมันที่ผันผวนมากขึ้นหลังกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันยังไม่สามารถตกลงในเรื่องลดการผลิตได้
โดยในเดือน พ.ย. แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ จะยังมีต่อในเดือนนี้ เพื่อรับกับดอกเบี้ยสหรัฐฯและตลาดเริ่มหมดข่าวในเชิงบวก ดัชนีฯจะมีความผันผวนสูงโดยเฉพาะช่วงต้นเดือนที่จะมีการประชมุ FOMC และเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และที่เป็นเรื่องของตลาดหุ้นไทยโดยตรง คือ การนำส่งงบการเงินช่วง 2 สัปดาห์แรก และตัวเลข GDP ไตรมาส 3 อย่างไรก็ตาม คาดว่าช่วงปลายเดือน ตลาดจะซึมซับผลของปัจจัยเหล่า นี้ดัชนีฯน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ตัวแปรของตลาดที่ต้องติดตามคือ การประชุม FOMC วันที่ 1-2 พ.ย.นี้ และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 8 พ.ย. ทั้งสองเรื่องตลาดสะท้อนผลที่จะออกมาแล้วนั่นคือ Fed คงดอกเบี้ย และนางฮิลารี คลินตัน ชนะการเลือกตั้ง ถ้าไม่พลิกโผไปจากนี้จะเป็นบวกต่อตลาดแต่จะมากน้อยแค่ไหนหรืออาจจะพลิกเป็นลบ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ 1.) การประชุม FOMC ในเรื่องการตีความของผลประชุมว่า ถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ยเดือนนี้ เดือน ธ.ค.จะขึ้นหรือไม่ คณะกรรมการกังวลในเรื่องใด และจะขึ้นแบบต่อเนื่องหรือครั้งเดียวแล้วหยุดดูสถานการณ์เหมือนปีก่อนหรือไม่ 2.) การเลือกตั้งสหรัฐฯ ถ้านาง ฮิลารีชนะการเลือกตั้ง ตลาดจะเป็นบวกเพราะนโยบายไม่ได้เป็นลบต่อการค้าการลงทุนเหมือนของทรัมป์ แต่หลังจากนี้คงต้องไปดูว่า นโยบายนางฮิลารี่ จะทำได้จริงหรือไม่
"บล.KTBST เชื่อว่าเดือน พ.ย. โดยเฉพาะช่วงต้นเดือนที่มีปัจจัยกวนตลาดเข้ามาเป็นระยะๆ นักกลงทุนต่างประเทศน่าจะยังขายหุ้นอยู่ แต่จะเริ่มซื้อกลับเมื่อความคลุม เครือหลายๆเรื่องผ่านไป ซึ่งคาดว่าแรงซื้อจะกลับมาอย่างเร็ว ก็ปลายเดือน พ.ย.59" 
ขณะที่ราคาน้ำมัน เห็นได้ว่าความร่วมมือของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันมีน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ทั้งใน และนอกกลุ่ม OPEC หลายรายยืนยันที่จะคงกำลังการผลิตเท่าปัจจุบัน หากเป็นเช่นนี้ เมื่อถึง 30 พ.ย.ซึ่งจะเป็นการประชุมประจำปีของกลุ่ม OPEC และจะประชุมกับผู้ผลิตมันนอกกลุ่ม เพื่อตัดสินใจในเรื่องการลดหรือคงกำลังการผลิตก็อาจจะประสบความล้มเหลวเหมือนเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา โดย การที่ OPEC และผู้ผลิตบางราย เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมาทำให้การหารือครั้งนี้ดูยากขึ้น ซึ่งบล.KTBST ประเมินว่าหากไม่สามารถตกลงกันได้ คือ ทำให้ supply น้ำมันดิบลดลงน้อยกว่า 0.4 ล้านบาร์เรล ราคาน้ำน่าจะกลับมาซื้อขายในกรอบ $40-50 แต่ลดลงมากกว่านี้จะทำให้ราคาน้ำมันดิบ อยู่ในกรอบ $50-55 เหรียญได้
ดร.วิน ยังกล่าวว่า อีกปัจจัยสำคัญ คือ ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทในตลาด ที่จะรายงานวันสุดท้ายวันที่ 14 พ.ย. (ขึ้น “SP” เช้า 15 พ.ย.) บล.KTBST คาดกำไรของบริษัทใน SET จะ
ออกมาดีกว่าที่เคยคาดเล็กน้อย จากกำไรกลุ่มธนาคารที่ออกมาดี โดยประเมินไว้ ที่ 2.39 แสนล้านบาท จาก 1.2 หมื่นล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2.8% จากไตรมาส 2 แนวโน้มผลประกอบ

การของหุ้นขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มน้ำมัน ปิโตรเคมี ก่อสร้าง ผู้ประกอบการโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันในอุตสาหกรรม ขณะที่หุ้นขนาดกลางหรือเล็กหรือหุ้นที่ไม่อิงกับภาวะเศรษฐกิจมากนัก หรือ ผลผลิตสินค้าที่มีการเติบโต ผลการดำเนินงานจะดีเหมือน 2 ไตรมาสแรก ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4 เราเริ่มเห็นว่า หุ้นที่อิงธุรกิจส่งออกจะเริ่มดีขึ้น ขณะที่การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่ลดลงในช่วงไตรมาส 4 จะขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นว่าจะมีพลังมากเพียงใด แต่ บล.KTBST ประเมินว่าหุ้นที่ได้รับผลบวกจากมาตรการภาครัฐ ส่วนใหญ่คือหุ้นที่ฐานรายได้ในเขตภูมิภาค จะมีกำไรที่ดีในไตรมาส 4 ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้แต่หุ้นกลุ่มรับเหมาฯ กำไรน่าจะเริ่มดีตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป

ดังนั้นกลยุทธ์ช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือน พ.ย. แนะให้ชะลอดูผลของตัวแปรสำคัญๆ โดยเฉพาะการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ซึ่งหุ้นที่เป็น Domestic จะถูกกลับมาเล่นกันอีกครั้งหลังรัฐบาลจะเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจกันต่อ รวมทั้งการลงทุนและการประชุมงานต่างๆของภาครัฐที่จะมากขึ้น รวมไปถึงหุ้นที่มีฐานรายได้ในเขตภูมิภาคด้วย การเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่โดยที่ไม่ได้มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวควรรอให้ แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศเบาบางลงก่อน ซึ่งคาดว่าหลังผ่านช่วงกลางเดือนไปแล้ว

"สำหรับทิศทางดัชนีฯที่จะเห็นได้ว่าปัจจุบันไม่สามารถไปต่อได้เนื่องจากยังคงถูกกดดันให้เป็นขาลง แต่เป็นการลงในลักษณะแกว่งตัวออกข้าง (Sideway) หรือกำลังรอทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งทางขึ้น และลง โดยประเมินดัชนีการขึ้นและลงว่า หากดัชนีเป็นขาขึ้นและสามารถยืนได้ที่ระดับ 1,500 จุด ก็ยังมองว่าแรงขาขึ้นยังจำกัด ดัชนีน่าจะอยู่ที่ 1,520- 1,540 จุด แต่หากดัชนีปรับตัวลงแนวรับน่าจะแกว่งในกรอบ 1,450-1,410 / 1,400 จุด โดยรวมมองกรอบดัชนี SET ที่ 1,410-1,520 / 1,540 จุด หุ้นที่แนะนำ AJD , ERW , KCE , ROBINS , SYNEX , SYNTEC " ประธานกรรมการบริหาร กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น