เสนา บุกตลาดอสังหาฯ โซนตะวันออกรองรับ EEC-นิคมฯ ระบุอนาคตตลาดสุดคึกคัก ระบุแผนลงทุนปี 60 เปิดโครงการที่อยู่อาศัยมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท เน้นโครงการขนาดใหญ่ เผยยอดขาย 9 เดือนกว่า 4,000 ล้านบาท
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 ว่า บริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันออกเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่รัฐบาลขยายลงทุนด้านสาธารณูปโภคการคมนาคม และส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ซึ่งจะทำให้โซนภาคตะวันออกกลายเป็นทำเลที่มีแนวโน้มเติบโต นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นที่นิยมอยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวอีกด้วย โดยที่ผ่านมา ได้ซื้อที่ดินใน อ.ศรีราชา เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ คาดว่าจะพัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียม เปิดขายได้ในปี 60 หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรอบสนามกอล์ฟ บริเวณเขาไม้แก้ว พัทยา มาแล้ว
ส่วนแผนการลงทุนในปี 60 ขณะนี้อยู่ระหว่างวางแผน ซึ่งเบื้องต้นจะมีจำนวนโครงการเปิดใหม่ใกล้เคียงกับปีนี้ แต่จะมีมูลค่าโครงการมากกว่า 8,000 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น ส่วนสินค้าจะมีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ทุกระดับราคา แต่จะให้ความสำคัญกับตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งทุกโครงการที่จะเปิดขายในปี 60 จะเป็นโครงการที่ติดแผงโซลาร์เซลล์ทั้งหมด ซึ่งที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการในปี 60 บริษัทได้เตรียมไว้สำหรับพัฒนาแล้ว
ผศ.ดร.เกษรา กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังจากนี้ยังคงเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยจะเห็นผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีขนาดใหญ่จากกลุ่มธุรกิจอื่นเข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูง แต่ยังสามารถเติบโตได้อีกส่วน แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้ายังสามารถเติบโตได้ แต่ยังคงมีการแข่งขันสูงทั้งจากผู้ประกอบการรายเดิม และรายใหม่ที่มาจากธุรกิจอื่นเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ อีกหลายราย เนื่องจากธุรกิจให้ผลตอบแทนสูง
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่น่ากังวล คือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีความอ่อนไหวกับสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งหากผู้บริโภคมีความกังวลก็จะชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านทันที ส่วนผลกระทบของมูลค่าหุ้นของธนาคารดอยแบงก์ ที่ลดลงอย่างมาก และการที่ต้องจ่ายค่าปรับให้กับสหรัฐฯ มูลค่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งธนาคารดอยแบงก์ มีโอกาสเข้าข่ายล้มละลาย โดยหากธนาคารดอยแบงก์ ล้มละลายจริง จะมีผลกระทบเชิงลบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยบ้างเล็กน้อย ในแง่ความมั่นใจของนักลงทุนที่ได้ซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนไปก่อนหน้าอาจจะยกเลิกการซื้อ เพราะไม่มั่นใจในเรื่องของศักยภาพของตัวเองในอนาคต โดยในกรณีนี้โครงการที่จะได้รับผลส่วนใหญ่จะเป็นโครงการระดับบนที่เป็นกลุ่มนักลงทุนซื้อส่วนใหญ่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนทั้งหมด
ขณะที่ผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่า จะทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ทั้งในแง่ของรายได้ และกำไร โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/59 มีโอกาสที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากทำสถิติสูงสุดใหม่ไปแล้วในไตรมาส 2/59 โดยแนวโน้มในไตรมาส 4/59 จะเป็นช่วงฤดูขายของธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งจะมีการโอนโครงการ และการขายโครงการจำนวนมาก เพราะเป็นช่วงที่ลูกค้าจับจ่ายใช้สอย ซึ่งต่างจากไตรมาส 3/59 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซัน และสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในเดือนเมษายนไปแล้ว ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 จะเป็นไตรมาสที่ชะลอตัวอยู่
นอกจากนี้ บริษัทยังมั่นใจว่า ยอดขายของบริษัทจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4,500 ล้านบาท โดย 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายได้แล้วราว 4,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/59 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,440 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Kith Lite บางกะดี เฟส 2 มูลค่า 310 ล้านบาท และโครงการ The Niche Mono สุขุมวิท 50 มูลค่า 1,300 ล้านบาท โดยที่ผ่านมา บริษัทเปิดโครงการใหม่ไปทั้งหมดแล้ว 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายยอดขายจากงามหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 6-9 ต.ค. 59 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อยู่ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยผลักดันยอดขาย ขณะที่รายได้ในปีนี้ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าที่ 3,500 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อน โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่รอรับรู้รายได้อีก 1,000 ล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 3,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไนปี 60 ทั้งหมด
ด้านความคืบหน้าโครงการ “เดอะ คิทท์ พลัส สุขุมวิท 113” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 4 ไร่เศษ แบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟสๆ แรก ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาด 28 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 990,000 บาท/ยูนิต จำนวน 425 ยูนิต ขณะนี้มียอดขายแล้ว 70% และได้ปรับราคาขายขึ้นมาที่ 1.2 ล้านบาท ส่วนเฟส 2 จะเปิดขายในเดือนมกราคม 2560 เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาด 28 ตารางเมตร จำนวนประมาณ 400 ยูนิต คาดว่าจะปรับราคาขายขึ้นมาอีกประมาณ 15-20% โดยทั้งโครงการมีมูลค่ารวม 550 ล้านบาท
“ทำเลนี้มีคู่แข่งประมาณ 5 ราย รวมแล้วหลายพันยูนิต คาดว่าทุกโครงการจะมียอดขายที่ดี เพราะเป็นทำเลที่รถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยายแบริ่ง-สมุทรปราการ) ผ่าน ถือเป็นหนึ่งในทำเลที่เหมาะสำหรับการลงทุนเช่นเดียวกับทำเลที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถได้ผลตอบแทนประมาณ 5-7% และจะควบคุมยอดรีเจกต์ (Reject) ให้คงที่เฉลี่ยประมาณ 20%” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
สำหรับโครงการโซลาร์ฟาร์มยังไม่มีแผนการขยายเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 46.5 เมกะวัตต์ เนื่องจากรัฐบาลยังไม่มีความต้องการเพิ่มเติม แต่คาดว่าจะหันไปลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟให้แก่โครงการอื่นๆ เพิ่ม นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำนวัตกรรมแผงโซลาร์รูฟจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาทำตลาดในไทย แต่จะต้องศึกษาในรายละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากที่ญี่ปุ่นมีค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าไทย ค่าไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาไม่เท่ากัน