ปัจจัยลบยังกดดันราคาทองคำขยับตัวขึ้น แนะลงทุนในกรอบการแกว่งตัวของราคา หลังประเมินการส่งญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงธันวาคม ยังสร้างแรงเทขายในทองคำ แม้ธนาคารกลางญี่ปุ่นเตรียมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม แต่ช่วยได้แค่พยุงไม่ให้ปรับตัวลดลงไปมาก
“วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำว่า ภาพรวมการเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมา ทิศทางไม่ได้สดใสมากนัก เนื่องจากได้รับแรงกกดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในหลายประเทศใหญ่มีทิศทางที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งสะท้อนในส่วนของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน และตลาดทุนที่เพิ่มสูงขึ้น นับเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดัน และสร้างแรงขายให้แก่ทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
ขณะเดียวกัน ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) แม้ว่าจะมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิม และมีการส่งสัญญาณปรับลดลงในอนาคต ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจอังกฤษที่ออกมาสะท้อนถึงความแข็งแกร่ง ซึ่งบ่งบอกว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการถอนตัวออกจากกลุ่มสหภาพยุโรป ทำให้ปัจจัยที่ยังต้องจับตาจากนี้คือ ทิศทางของคณะกรรมการนโยบายการเงินญี่ปุ่น และคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ แม้จะมีกระแสคาดว่าเฟดจะมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมในการประชุมครั้งนี้ และมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งช่วงธันวาคม
ทั้งนี้ เพราะปัจจัยดังกล่าวสร้างแรงกดดันให้แก่นักลงทุน จนทำให้แรงขายในทองคำออกมา ขณะที่กองทุนทองคำขนาดใหญ่ของ SPDR พบว่ามีการปรับลดการถือครองทองคำลงเช่นกัน โดยหาก BOJ มีการสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ปัจจัยดังกล่าวจะกลายมาช่วยพยุงราคาทองคำไว้ให้อ่อนตัวในกรอบที่ค่อนข้างจำกัด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ซึ่งอาจใช้จังหวะดังกล่าวที่ราคาทองคำปรับลงมาทยอยเข้าสะสมเพื่อรอทำกำไรเมื่อราคามีการปรับตัวขึ้น โดยมีแนวรับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ แนวต้าน 1,339 ดอลลาร์/ออนซ์ และหากหลุดแนวรับ-แนวต้านดังกล่าว ประเมินแนวรับถัดไปที่ 1,285 ดอลลาร์/ออนซ์ และแนวต้าน1,363 ดอลลาร์/ออนซ์
“ระยะสั้นเรายังเน้นการเก็งกำไรในกรอบจากการแกว่งตัวของราคา จนกว่าราคาจะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น และนักลงทุนอาจจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเพื่อเพิ่มกรอบการตัดสินใจในการลงทุนหลัง กนง.มีการส่งสัญญาณอยากให้ค่าเงินบาทมีทิศทางที่จะอ่อนค่ามากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ”