นักลงทุนจับตาท่าทีประธานเฟด ต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้่ยสหรัฐฯ ในช่วงเดือนกันยายน กดดันราคาทองคำถูกเทขายต่อเนื่องเมื่อเข้าใกล้จุดสูงสุด โดยรวมแกว่งตัวในกรอบแบบ Side Way คาดหากไม่ทะลุ 1,367 เหรียญ/ออนซ์ มีโอกาสอ่อนตัวเพื่อเตรียมรีบาวนด์อีกครั้ง
“วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำว่า ที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของราคาทองคำเป็นไปในรูปแบบดีดตัวออกด้านข้างในลักษณะไซด์เวย์ หรือพอราคาขยับขึ้นไปที่ 1,358 เหรียญ/ออนซ์ จะมีแรงขายกดให้ราคาปรับตัวลงเข้าใกล้แนวรับ 1,337-1,334 เหรียญ/ออนซ์ และจะมีแรงซื้อผลักดันให้ราคาปรับตัวรีบาวนด์ หรือแกว่งตัวขึ้น
เหตุผลสำคัญมาจากการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังไม่ชัดเจน เพราะผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงมีสัญญาณแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะชะลอออกไป ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีการอ่อนตัวลง และทำให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของประธานเฟดในสาขาต่างๆ ยังคงมีมุมมองต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น เพราะเห็นว่าทิศทางของตลาดแรงงานในประเทศมีการปรับตัวในระดับที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง ถือเป้นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้
นอกจากนี้ การที่เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำมากเกินไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศเพิ่มสูงขึ้น และจะกลับมาเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อีกครั้ง
โดยปัจจัยที่ต้องจับตายังเป็นทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ เพราะจะมีผลต่อการตัดสินใจของเฟดต่อการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ เช่น ประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP และการประชุมของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทำให้นักลงทุนจับตาทิศทาง และมุมมองของประธานเฟดว่าจะมีการส่งสัญญาณต่อเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศว่าจะเป็นไปในลักษณะใด
สำหรับกลยุทธ์ลงทุน หลังราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาแกว่งตัวอยู่ในกรอบ ทำให้จำเป็นต้องรอการย่อตัวของราคาเข้าใกล้โซนแนวรับถึงเหมาะแก่การเข้าลงทุน โดยโซนแนวรับอยู่ 1,334-1,329 เหรียญ/ออนซ์ โดยหากราคาย่อตัวลงมาไม่หลุดแนวรับดังกล่าว แนะนำให้เข้าซื้อเพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาดีดตัว
ขณะเดียวกัน เมื่อราคาทองคำดีดตัวขึ้น แนะนำให้แบ่งทองคำออกขายที่โซน 1,358-1,367 เหรียญ/ออนซ์ และหากราคายังไม่สามารถขึ้นที่ 1,367 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม เชื่อว่าราคาอาจเกิดการปรับตัวลดลงในระยะสั้นได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ การแข็งค่าของค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นยังเป็นอีกปัจจัยที่กลับมากดดันการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในประเทศ ทำให้กลยุทธ์เข้าไล่ซื้อทองคำ ประเมินว่าไม่เหมาะสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ โดยอาจต้องรอการอ่อนตัวลงมาของราคาทองคำแล้วค่อยเข้าซื้อ น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมมากกว่า