ราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 27 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือคิดเป็น 2.05% ปิดที่ระดับ 1,342 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยราคาพักตัวในกรอบแคบหลังขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้าจากผลการลงประชามติ (Brexit) โดยนักลงทุนเริ่มย้ายการลงทุนออกจากทองคำหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวขึ้นจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางชั้นนำของโลกจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือต่อผลกระทบจากปัจจัย Brexit + สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับจีดีพีประจำไตรมาสแรกขยายตัว 1.1% เมื่อเทียบรายไตรมาส สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1% ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นแทน
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร และปอนด์ + ความกังวลจากผลกระทบของ (Brexit) รวมถึงนักลงทุนลดการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลังจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ออกมาคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งเท่านั้นในปีนี้ และคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกไปจนถึงปี 2561 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัว ส่งผลให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากแรงซื้อที่กลับเข้ามาในทองคำ
สำหรับแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิค ราคาพักตัวเข้าหาเส้น 5 วันไม่ลงมาต่ำกว่า ก่อนฟื้นตัวขึ้นรอบใหม่ในแนวรูปแบบ Bullish Flag + แรงหนุนแนวรับสัญญาณ Golden Cross ทำให้ราคามีแนวโน้มปรับขึ้นต่อตามแนวขึ้นเดิมก่อนหน้า
สรุปแนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นต่อ
โดยมีแนวรับ 1,305/1,310 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวต้าน 1,390/1,395 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์