สบน.เผยมูดี้ส์ คงเครดิตไทย คาดจีดีพีของไทยปีนี้ เติบโตได้ 2.8% ส่วนปีหน้าคาดโตได้ 3% พร้อมระบุ ประชามติ รธน.ทำการเมืองยังเสี่ยง รวมทั้งการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2559 Moody’s ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือพันธบัตรรัฐบาลไทย สกุลเงินต่างประเทศ และสกุลเงินบาทที่ระดับ Baa1 โดยมีมุมมองความน่าเชื่อถือที่มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ยืนยันเพดานความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ระดับ A2 และสกุลเงินบาทที่ระดับ A1 พร้อมทั้งยืนยันเพดานเงินฝากธนาคารสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ระดับ Baa1 และสกุลเงินบาทที่ระดับ A1
ทั้งนี้ มูดีส์ คาดว่าปี 2559 และ 2560 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 2.8 และร้อยละ 3 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในปี 2558 เนื่องจากเห็นว่าไทยยังคงพึ่งพาการใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออกภาคบริการ มากกว่าการใช้จ่ายภาคเอกชน และการส่งออกสินค้า ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวไม่มีความแตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา อย่างมีนัยสำคัญ
มูดี้ส์ วิเคราะห์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ต่ำกว่าศักยภาพในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าไทยกำลังเผชิญปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขัน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ สำหรับปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ความซบเซาของความต้องการสินค้าในตลาดโลก และความอ่อนแอของการลงทุนภาคเอกชนในประเทศ นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้นจากความไม่แน่นอนในผลประชามติของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมทั้งการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการส่งออกภาคบริการวัดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว มูดีส์ ยังให้ความเห็นว่า ฐานะการคลังที่เข้มแข็ง ความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงภาคต่างประเทศที่ต่ำ ตลอดจนความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนด และต้นทุนการระดมทุนของรัฐบาลที่อยู่ในระดับต่ำ แสดงให้เห็นว่า ไทยมีการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ และนโยบายการเงินการคลังเชิงรุกได้อย่างน่าเชื่อถือ แม้ว่าหนี้สาธารณะจะสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดด้านการคลังในภาพรวมยังมีความเข้มแข็งกว่ากลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกัน
นอกจากนี้ แม้ว่าภาคการส่งออกยังคงอ่อนแอ แต่ความต้องการนำเข้าสินค้าที่ยังไม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการปรับตัวลงของมูลค่าสินค้านำเข้า อาทิ ราคาน้ำมัน ได้ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ซึ่งจะมีส่วนช่วยรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ