LH Bank ประเมินครึ่งปีหลังเศรษฐกิจยังเสี่ยง ยังต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวัง คาดสินเชื่อปีนี้โต 10-12% จากเดิมที่ตั้งไว้ 10-15% คุมเข้มสินเชื่อบ้านยังชะลอ พร้อมเร่งหาทางรับมือ ROE วูบหลังพันธมิตรใส่เงินเพิ่มทุน มั่นใจยังตรึงได้ 2 หลัก จากปัจจุบันที่ 16%
นางศศิธร พงศธร (ฉัตรศิริวิชัยกุล) กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Bank) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังนี้ธนาคารจะยังคงแนวทางการดำเนินกลยุทธ์อย่างระมัดระวัง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งธนาคารคาดการณ์สินเชื่อเติบโตในปีนี้ที่ 10-12% ใกล้เคียงเป้าหมายเดิมที่ 10-15% จากครึ่งแรกของปีที่เติบโตได้ 6% หรือมียอดคงค้างที่ 211,615 ล้านบาท โดยมุ่งไปในส่วนของสินเชื่อรายใหญ่ที่ยังขยายตัวได้ดี และเพื่อเป็นการปรับสมดุลของพอร์ตสินเชื่อธนาคารด้วย
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าโครงสร้างสินเชื่อของธนาคารมีความเปลี่ยนแปลงอย่างสมดุลขึ้น โดยปัจจุบัน สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ (รายได้ 500 ล้านบาทขึ้นไป) มีสัดส่วน 64% สินเชื่อเอสเอ็มอี 16% ลดลงเล็กน้อยจาก 18% สินเชื่อที่อยู่อาศัย และรายย่อย 20% ขณะที่คุณภาพหนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารอยู่ที่ 1.69% จาก 1.89% ต่ำกว่าระบบที่ 3.1% และดูแลให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2%
“สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนที่ยังต้องระมัดระวังอยู่ต่อไป เนื่องจากยังมีอุปทานส่วนเกินอยู่บางส่วน ประกอบกับกำลังซื้อลดลง และความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง ทำให้ต้องดูแล และระมัดระวังในการปล่อยกู้ โดยอัตราการอนุมัติอยู่ที่ 32% จาก 44% ในช่วงปลายปี”
เร่งปรับตัวห่วง ROE วูบหลังพันธมิตรเข้า
สำหรับความคืบหน้าในการร่วมธุรกิจกับ CTBC Bank จากไต้หวัน โดยทาง CTBC Bank จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFG) ในสัดส่วน 35.6% หรือคิดเป็นเม็ดเงินเพิ่มทุนเข้ามากว่า 16,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากผู้กำกับดูแลของทั้ง 2 ธนาคาร หลังจากนั้นก็จะต้องขออนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้น และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งหากเป็นไปได้ก็อยากจะให้ทันภายในไตรมาส 3 ปีนี้
นายศศิธร กล่าวอีกว่า สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องก็คือ ธนาคารจะต้องดูแลในส่วนของอัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) หลังจากการใส่เงินพิ่มทุนเข้ามาของพันธมิตร ซึ่งจะทำให้ ROE ลดลงมาก จากปัจจุบันที่ 16% จะเหลือเพียง 6-7% ดังนั้น จึงต้องหาแนวทางที่จะลดผลกระทบจากการเพิ่มทุนให้มากที่สุด โดยจะพยายามให้อยู่ในเลข 2 หลัก และหลังจากนั้นอีก 1-2 ปี ก็คงจะมาอยู่ที่ระดับเดิมได้
คาดผลประชามติไม่กระทบ
ส่วนกรณีที่จะมีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ คาดว่าจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย ซึ่งจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะ ก็น่าจะยังทำให้มีเงินไหลเข้าภูมิภาคนี้ รวมถึงประเทศไทยอยู่ ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อตลาดทุนให้คึกคักขึ้น
สำหรับผลประกอบการของธนาคารในช่วงที่ครึ่งปีที่ผ่านมา จะมีอัตราการเติบโตในด้านต่างๆ ที่น่าพอใจ โดยมีกำไรสุทธิ 1,374 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.6% โดยหลักๆ มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียม ตลอดจนการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมลดลงจาก 41.5% ของปีก่อนมาอยู่ที่ 34.2% และอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 122% จากสิ้นปีก่อนที่ 98%