บล.เออีซี ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนที่อังกฤษจะลงประชามติออก-ไม่ออกจากการเป็นสมาชิกอียู ผันผวนในกรอบ 1,400-1,440 จุด ระบุหากออกจากอียู SET มีโอกาสหลุด 1,400 จุด แต่ก็มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันหากผลประชามติออกมาให้ยังอยู่ในอียู ตลาดเกิดใหม่ก็พร้อมใจผงกหัวขึ้นทันที แนะลงทุนใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้ม Outperform ชู LH AP SIRI PACE ANAN CBG KTC THANI TPCH เจ๋งสุด
นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (AEC) เปิดเผยถึงกรณีที่อังกฤษจัดให้มีการลงประชามติเรื่องที่จะออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) หรือไม่ หรือ “Brexit” ซึ่งการโหวตจะเกิดขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน 2559 นี้ ว่า หากอังกฤษตัดสินใจที่จะยังอยู่ต่อ ตลาดทุนจะคลายความกังวล และจะเกิดแรงขายทำกำไรในตลาดตราสารหนี้ของเยอรมนี และญี่ปุ่น ที่อัตราผลตอบแทนลดลงไปต่ำกว่าระดับ 0% ขณะที่ค่าเงิน EUR GBP ราคาน้ำมัน และตลาดหุ้นเกิดใหม่จะฟื้นทันที นอกจากนี้ จะมีแรงเทขายทองคำด้วย
อย่างไรก็ตาม หากผลการลงประชามติตัดสินอังกฤษออกจากอียู ภาคเศรษฐกิจมีโอกาสได้รับผลกระทบเชิงลบต่อการปรับลด GDP 10% ในปี 2559 ซึ่งอังกฤษจะมีเวลาในการปฏิรูปกฎหมายเป็นระยะเวลา 2 ปี ในกรณีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสตอบสนองเชิงลบอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบจะเกิดต่อตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศยุโรปโดยตรงมากกว่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นดัชนีมีโอกาสหลุด 1,400 จุด แต่ก็จะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงรอความชัดเจนจากการลงประชามติของอังกฤษ ประเมินว่าจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,400-1,440 จุด ซึ่งในกรณีที่ผลการลงประชามติตัดสินอังกฤษออกจากอียู ตลาดหุ้นไทยระยะสั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงหลุด 1,400 จุด แต่ก็จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วจากปัจจัยสนับสนุน คือ การลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป รวมทั้งความคาดหวังเรื่องของการลดน้ำหนักในตลาด Bond และเพิ่มน้ำหนักในตลาดทุนหลังจบประเด็นเรื่องประชามติอังกฤษ รวมไปถึงเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะทำได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ” นายเกรียงไกร กล่าว
โดยหลังวันที่ 23 มิ.ย.นี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แนะนำให้หาจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้ม Outperform ประกอบด้วย 1.หุ้นในกลุ่มที่อยู่อาศัย ได้แก่ LH AP SIRI PACE ANAN 2.กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ได้แก่ CBG MALEE เนื่องจากมีแนวโน้มปรับเพิ่มผลการดำเนินงาน 3.กลุ่มเช่าซื้อ ได้แก่ KTC THANI และ 4.กลุ่มพลังงานทดแทน ที่มี Event Drive การประมูล และมีผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ TPCH BWG