ไม่นานมานี้ เกิดดีลที่สะท้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงทั่วโลก โดยเบิร์กไชร์ ฮาธะเวย์ ของตำนานนักลงทุนวีไออย่าง วอเร็น บัฟเฟ็ตต์ ได้ออกมาประกาศว่า ได้เข้าซื้อหุ้น APPLE แล้วโดยใช้เงินไปทั้งสิ้น 1,000 ล้านเหรียญ รวมถึงออกมาบอกว่าได้เข้าถือหุ้นไอบีเอ็ม เพิ่มเติมอีก
แม้การตัดสินใจซื้อหุ้น APPLE ดังกล่าวจะเป็นการวิเคราะห์ของ 2 พาร์ตเนอร์ อาจไม่ได้มาจากตัวบัฟเฟ็ตต์ โดยตรง แต่ถือว่าพ่อมดแห่งเนบาสก้า มีส่วนในการตัดสินใจด้วยแน่นอน
ถือว่าดีลนี้เซอร์ไพรส์พอสมควร เพราะเป็นที่รู้กันว่า บัฟเฟ็ตต์ ไม่เคยลงทุนในหุ้นพวกเทคโนโลยีมาก่อน พอร์ตการลงทุนใหญ่ที่สุดของเบิร์กไชร์ ฮาธะเวย์ ส่วนมากลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจที่ “ธรรมดา” สุดๆ และเข้าใจได้ง่าย อาจจะมีธุรกิจการเงินบ้างอย่างประกันภัย เพิ่งจะมาสนใจหุ้นกลุ่มไฮเทคก็ไม่นานมานี้เองที่เข้าไปซื้อหุ้นยักษ์ไอทีสีฟ้าอย่างไอบีเอ็ม โดยให้เหตุผลว่า มีการปรับโครงสร้างธุรกิจไม่ได้เป็นผู้ขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอีกต่อไป
ทว่า..ไม่นานมานี้ เพิ่งเกิดเหตุการณ์ที่บัฟเฟ็ตต์ เองยังยอมรับว่า ตัดสินใจ "ผิดพลาด” ครั้งสำคัญด้วยการถือหุ้นในห้างค้าปลีกระดับโลกอย่างเทสโก้ ซึ่งประสบปัญหารายได้ และกำไรลดลงทั่วโลกอย่างมาก จนต้องจำใจขายหุ้นออกไปทั้งหมด ทั้งที่จริงแล้วบัฟเฟ็ตต์ น่าจะมองเกมออกว่าทิศทางธุรกิจค้าปลีก (จริงแล้วน่าจะเป็นหุ้นยอดฮิตของนักลงทุนแนววีไอ) ออกว่ายังมีอนาคตหรือไม่ ปรากฏว่า สาเหตุที่ธุรกิจค้าปลีกย่ำแย่ทั่วโลกก็เป็นเพราะเทคโนโลยีนี่เอง โดยเฉพาะการเติบโตของค้าปลีกออนไลน์ (ของแสลงของปู่ชัดๆ ว่ากันว่าปู่แกใช้คอมพิวเตอร์เป็นเฉพาะตอนที่เล่นไพ่โปกเกอร์ออนไลน์กับเพื่อนสนิทอย่าง บิล เกตต์ เท่านั้น)
ในเมื่อผิดหวังจากเทคโนโลยีหรือเปล่าไม่แน่ใจ ปู่บัฟเฟ็ตต์ อาจจะหันมาศึกษาธุรกิจพวกนี้อย่างจริงจังก็เป็นได้ เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ปู่ก็เริ่มถ่ายทอดสดการประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์ ฮาธะเวย์ ผ่านอินเทอร์เนตด้วยเวบไซต์ Yahoo! ซึ่งเวลาต่อมาปู่ก็สนใจจะเข้าถือหุ้น Yahoo! ซะด้วย
ส่วนดีลซื้อหุ้น APPLE แม้จะเป็นหุ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่คนใกล้ชิดของปู่ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เข้าลงทุนในหุ้นตัวนี้ ประกอบไปด้วย การที่เป็นบริษัทที่มีแบรนด์อันแข็งแกร่ง มีสถานะการเงินที่ดี และที่สำคัญคือราคาหุ้นไม่ได้แพงมาก (เอ๊ะ..จะว่าไปสูตรการลงทุนก็ยังไม่หนีไปจากแนววีไอนะเนี่ย)
สาเหตุที่ราคาหุ้น APPLE ร่วงลงมาถึง 30% กว่า และลงหนักถึง 8 วันติดต่อกัน เป็นเพราะรายงานผลประกอบการยอดขายไอโฟนที่ตกลงไปอย่างมาก ตลอดจนความเสี่ยงที่อาจถูกกีดกันทางการค้าในประเทศจีน จากการแพ้คดีการใช้เครื่องหมายการค้า APPLE ราคาหุ้นที่ลงมาจนมีค่าพีอีประมาณ 10 เท่าซึ่งไม่สูงไปนัก อาจทำให้บัฟเฟ็ตต์ ตัดสินใจซื้อหุ้นในช่วงเวลานี้ และหุ้นก็ขึ้นมา 3% เมื่อประกาศข่าว เหนือสิ่งอื่นใดคือ คนใกล้ชิดของบัฟเฟ็ตต์ ประเมินว่า พ่อมดแห่งเนบาสก้ารายนี้กำลังมองว่าหุ้น APPLE กำลังจะไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายมาเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องต่อชีวิตประจำวันของคนทั่วไป หรือคอนซูเมอร์โปรดักต์ อย่างเช่นที่กำลังลงทุนในรถยนต์ไร้คนขับ และล่าสุด กับธุรกิจคล้ายๆ อูเบอร์ในจีนอย่าง Didi อาจเป็นสาเหตุหลักที่บัฟเฟ็ตต์ ตัดสินใจซื้อหุ้น ไม่ว่าปู่บัฟเฟ็ตต์ จะตัดสินใจถูกหรือผิด เรื่องนี้มองได้ว่า เป็นคติเตือนใจที่สำคัญของนักลงทุนว่าขนาดเซียนหุ้นที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นมากว่า 40 ปี ยังเปลี่ยนแนวทางการลงทุนของตัวเอง เรียนรู้ข้อผิดพลาด และเปิดรับสิ่งใหม่ๆ นักลงทุนอย่างเราๆ น่าจะดูเป็นแบบอย่างไว้นะครับ
เพราะโลกการลงทุนตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงเร็วมากด้วยเทคโนโลยี คนที่ปรับตัวไม่ทันอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็เป็นได้
SuperTrader Team
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง