หากต้องการความมั่งคั่งด้านทรัพย์สมบัติ อย่ามองข้าม ‘จินตนาการ’ เพราะจินตนาการเป็นแหล่งสร้างแผนการทุกอย่างที่เราสร้างสรรค์ขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากความคิด แล้วแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ซึ่งในที่สุด ก็กลายเป็นพลังบันดาลดึงดูดความสำเร็จ ความมั่งคั่ง ชื่อเสียงทรัพย์สินเงินทองตามมา
เฉกเช่น “ไอน์สไตน์” เกิด ปิ๊งแว้บ! เรื่องแสงเดินทางไปตามความโค้งของอากาศ ก่อนเขียนสูตรคณิตศาสตร์ออกมาพิสูจน์เป็นทฤษฎีที่เห็นในหัวของเขา
ความต่างระหว่างทรัพย์สินกับจินตนาการก็คือ จินตนาการเกิดจากความว่างหรืออากาศธาตุ จับต้องไม่ได้ ขณะที่ทรัพย์สินสมบัติเกิดจากธาตุดิน จับต้องลูบคลำได้
นักปราญช์กล่าวอุปมาไว้ “ทรัพย์สินเปรียบเหมือนงูเห่า” หากดูแลรักษาไม่ดี ผู้เป็นเจ้าของก็อาจถูกฉกแว้งกัดถึงตายได้ อย่างไรก็ตาม แม้งูเห่าจะมีพิษร้ายปานใด แต่งูก็ต้องกลายเป็นเหยื่อของนกอินทรี ขณะที่งูเลื้อยอยู่กับดินดีๆ ก็ยังถูกอินทรีโฉบจากเวหาแล้วใช้กรงเล็บจับบินขึ้นฟ้าเอาไปกินเป็นอาหาร
เช่นเดียวกัน ความมั่งคั่งร่ำรวย ทรัพย์สินสมบัติ ล้วนต้องอาศัยปัญญาหรือจินตนาการบันดาลให้เกิดขึ้นทั้งนั้น เหมือนนกอินทรีไล่โฉบงูเห่า จินตนาการก็ไล่ต้อนทรัพย์สิน ดังนั้น หากอยากมั่งคั่งร่ำรวยประสบความสำเร็จ อย่ามองข้าม “จินตนาการ” ที่ในทางพระเรียกว่า “ปัญญา”
เราทุกคนต่างรู้ดีว่า เมื่อหาทรัพย์สินมาได้แล้ว จำต้องเรียนรู้วิธีสะสม จะเก็บออม หรือนำไปลงทุน เพื่อใช้ให้เงินทำงานออกดอกผลงอกงามต่อไป
แน่นอน..พระพุทธเจ้าอนุญาตให้เราประกอบสัมมาอาชีพ เป็นอาชีพที่สุจริต ไม่คดโกงใคร ทำงานแล้วก็ถือเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่ควรได้รับผลตอบแทน นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงแนะนำให้ดูแลรักษาทรัพย์สินที่หามาให้ดี ไม่ให้เป็นอันตราย ไม่ให้เสื่อมสูญไป ภาษาพระเรียกว่า ‘อารักขสัมปทา’
ดังที่ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ราชาแห่งวอลสตรีท หรือมือหนึ่งแห่งวงการหุ้นระดับโลกกล่าวไว้
“ถ้าคุณซื้อแต่สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ วันหนึ่งคุณจะได้ขายสิ่งที่มีประโยชน์”
สอดคล้องกับที่ “โรเบิร์ต คิโยซากิ” มหาเศรษฐี ปราชญ์แห่งการเงิน ผู้เขียนหนังสือขายดีระดับโลกอย่าง “พ่อรวยสอนลูก” แนะนำว่า...
“หนี้สิน คือรายจ่ายที่เรียกเงินออกจากกระเป๋า ทรัพย์สิน คือรายรับที่กวักเงินมาเข้ากระเป๋า สิ่งใดที่ซื้อมาแล้วไม่อาจเรียกเงินเข้ากระเป๋าได้จัดเป็นหนี้สิน สิ่งใดที่ซื้อมาแล้วสามารถเรียกเงินเข้ากระเป๋าได้จัดเป็นทรัพย์สิน”
สรุปก็คือ “คนจนชอบสะสมหนี้สิน ขณะที่คนรวยชอบสะสมทรัพย์สิน” และความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ “คนจนทำงานเพื่อเงิน แต่คนรวยใช้เงินทำงาน เพื่อให้ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงิน”
แนวคิดเรื่องการดูแลรักษาเงินโดยวิธีใช้เงินต่อเงิน หรือใช้เงินทำงาน อาจดูฉลาดเฉพาะคนที่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตแค่เพียงชาตินี้
ต่างจากทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเชื่อว่า โลกนี้มี โลกหน้ามี ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้สิ้นสุดอยู่เพียงชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น เรายังต้องเดินทางกันอีกต่อไป ตราบใดที่จิตวิญญาณยังไม่สิ้นกิเลสอาสวะ
ดังนั้น พระองค์จึงแนะนำให้สะสมอริยทรัพย์ ด้วยการสละ แบ่งปัน มิใช่เอาแต่งกเงิน มีแล้วก็อยากมีอีก ยิ่งมีก็ยิ่งตระหนี่เหมือนเศรษฐีบางคน เพราะในที่สุดเมื่อตายไป แค่เพียงบาทเดียวที่สัปเหร่อยัดใส่ไว้ในปาก ก็ยังเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “อาทิตตสูตร” ว่า...
“เรือนเมื่อถูกไฟไหม้ เจ้าของเรือนนำเอาทรัพย์ใดออกไปได้ ทรัพย์สินนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งใดที่มิได้นำออกไป ย่อมถูกไฟไหม้วอดวาย ฉันใดก็ฉันนั้น
โลกเมื่อถูกชราและมรณะเผาแล้วก็เช่นกัน ฉะนั้น ควรนำทรัพย์ออกด้วยการให้ทาน เพราะทานที่บุคคลให้แล้ว ชื่อว่านำออกดีแล้ว ทานที่บุคคลให้แล้วย่อมมีผลเป็นความสุข ส่วนที่ยังมิได้ให้ ย่อมไม่มีผลอย่างนั้น อีกทั้งโจรยังปล้นเอาไปได้ หลวงก็ยังริบเอาไปได้ ไฟก็ยังไหม้ได้ หรือแม้กระทั่งทำสูญหายไปเองก็ได้
อนึ่ง บุคคลจำต้องละลาจากร่างกาย พร้อมด้วยสิ่งของเครื่องอยู่อาศัยเพราะการตายจากไปนั้น ผู้มีปัญญารู้ชัดดังนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน ครั้นได้ใช้สอยและให้ทานแล้ว จะไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงสถานที่อันเป็นแดนสวรรค์ เสวยสุขรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ ฉะนั้น”
“มีแล้วจึงให้ ได้แล้วจึงปัน” แน่นอนสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า ก็อาจรู้สึกเฉยๆกับเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง “ความสุข” ล่ะ?
มีงานวิจัยระบุผลชี้ชัดออกมาว่า มหาเศรษฐีที่รวยติดอันดับโลกกว่า 400 คน มีความสุขเท่ากับชนเผ่าชาวมาไซ ซึ่งปัจจุบันนี้ยังถือหอกออกป่าล่าสัตว์อยู่ เหตุนี้กระมังที่ทำให้มหาเศรษฐีระดับโลกกว่าหลายร้อยคน หันมาบริจาคเงินเข้ากองทุนการกุศล ตามอย่างนักบุญเจ้าพ่อไมโครซอฟต์ “บิล เกตต์” และภรรยา
ไม่ว่าจะเป็น วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ ร็อคสตาร์อย่าง “โบโน” นักร้องนำวงยูทู หรือซูเปอร์สตาร์แห่งฮอลลีวู้ดอย่าง ลีโอนาโด ดิคาปริโอ, แบรด พิตต์ และศรีภรรยา แองเจลีน่า โจลี, มาดอนน่า เจ้าแม่ป๊อปแดนซ์ หรือแม้แต่เจ็ทลี, เฉินหลง และล่าสุดก็โจวเหวินฟะ
หากไม่ใช่เพื่อความสุข หรือเพื่อสั่งสมบุญกุศล ดาราดังระดับโลกเหล่านี้ เขาจะทยอยเรียงแถวกันมาบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวกันไปทำไม แต่ละคนบริจาคไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ว่ากันเป็นหลักร้อยล้านพันล้านเลยทีเดียว
“การบริจาค” หากมิใช่เพื่อความสุข หรือเพื่อสะสมเป็นอริยทรัพย์ขั้นทานบารมี เศรษฐีเหล่านี้เขาจะบริจาคทรัพย์สินกันไปทำไม
อย่างไรก็ดี ขณะที่งูเลื้อยไปกับดิน อินทรีบินไปบนฟ้า เสมือนทรัพย์สินเกิดอยู่กับดิน แต่ปัญญาเกิดจากการเรียนรู้ แล้วตกผลึกออกมาเป็น “จินตนาการ” ปิ๊งแว้บ! ซึ่งจู่ๆก็ผุดรู้ขึ้นมาจากความว่าง ดุจพรสวรรค์ที่โปรยลงมาจากฟ้า
เชื่อหรือไม่ว่า มหาเศรษฐีใจบุญเหล่านี้ ก่อนหน้าที่จะร่ำรวยขึ้นมา พวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่า ในที่สุดแล้วตัวเองจะได้ผงาดขึ้นมาถึงขั้นนี้ แต่เพราะภาวะปิ๊งแว้บ! จากไอเดียดีๆ บางอย่างที่จู่ๆก็รู้ขึ้นมา รวมทั้งพลังลึกลับของอะไรบางอย่าง ที่ชักจูงหนุนนำให้พวกเขาเกิดแรงบันดาลใจ ทำแล้วประสบความสำเร็จร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี
ภาวะที่คอยชักจูงหนุนนำ ทางพระเรียกว่า “บุญบารมี” ส่วนภาวะปิ๊งแว้บ! ภาษาพระเรียกว่า “ปัญญา” ฉะนั้น
“ออมดิน อย่าหมิ่นฟ้า เมื่อทรัพย์ไหลมา แล้วอย่าลืมทาน”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 165 กันยายน 2557 โดย ทาสโพธิญาณ)