ลีสซิ่งกสิกรไทย แจ้งผลประกอบการไตรมาสแรกกำไร 165 ล้าน เติบโต 68.84% ปล่อยกู้ใหม่ 2.08 หมื่นล้าน แต่ยอดคงค้างยังลด 1.52% อยู่ที่ 8.81 หมื่นล้าน ตามยอดขายรถที่ยังลดลง คาดภาพรวมครึ่งปีหลังดีขึ้น
นายทวี ธีระสุนทรวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสแรกปี 2559 ของบริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 20,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 37.38% แบ่งเป็นสินเชื่อใหม่เช่าซื้อ และลีสซิ่ง 8,036 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.52% และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Floorplan) 12,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.18% สำหรับยอดสินเชื่อคงค้าง (Outstanding Loan) มียอดรวม 88,193 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 1.52% ซึ่งสอดคล้องต่อสภาพตลาดรถยนต์โดยรวมที่มียอดขายลดลงจากปี 2558 และมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 1.53% ส่งผลให้บริษัทมีกำไร 165 ล้านบาท เติบโต 68.84%
สำหรับตลาดรถยนต์ในไตรมาสแรกปี 2559 ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยกดดันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาวะภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ หนี้ครัวเรือนที่สะสมในระดับสูง ภาคการส่งออกที่ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อที่ยังคงดำเนินต่อ รวมถึงการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ที่มีผลจากการทยอยปรับราคารถยนต์ในปีนี้เพื่อรับต่ออัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ ส่งผลให้ตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังชะลอตัว
ทั้งนี้ แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของตลาดสินเชื่อเช่าซื้อจะมีแนวโน้มสดใสมากขึ้น โดยปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 0-2% หากเศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และโครงการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของภาครัฐ ในส่วนตลาดสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้ว คาดว่าจะมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อน เนื่องจากราคารถใหม่มีราคาสูงขึ้น จึงส่งผลให้ราคารถมือสองไม่ต่ำมากนัก สำหรับตลาดรถแลกเงิน คาดว่ายังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปี 2558
นายทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยจะเริ่มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงมาที่ราว 5.2% จากค่าเฉลี่ยราว 13.5% ใน 5 ปีก่อนหน้านี้ แต่ต้องยอมรับว่าหนี้คงค้างที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า 81.5% ต่อจีดีพีในปัจจุบัน ยังคงกดดันต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนในระดับที่แตกต่างกันตามภาระหนี้ สำหรับกลุ่มที่ยังมีศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการซื้อสินค้าที่มีมูลค่า เช่น รถยนต์ หรือที่อยู่อาศัยจะเป็นกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาท โดยคาดว่าในปี 2559 นี้ แนวโน้มหนี้ครัวเรือนไทยน่าจะอยู่ในระดับ 83-84% ต่อจีดีพี
สำหรับ 3 ไตรมาสที่เหลือของปี 2559 ลีสซิ่งกสิกรไทย ยังคงมีทิศทางการทำตลาดในเชิงรุกต่อหลากหลายเซกเมนต์ที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น กลุ่มรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมถึงการร่วมมือทางการตลาดกับคู่ค้าพันธมิตร เพื่อเพิ่มช่องทางการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยการผนึกความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย และบริษัทของธนาคารกสิกรไทย ในการเปิดตัวแคมเปญ และกิจกรรมการตลาดที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบทุกมิติ