xs
xsm
sm
md
lg

EIC SCB แนะจับตาการลงทุนภาครัฐในครึ่งหลังปี 59 จะออกหัวหรือก้อย?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ แนะนักลงทุนจับตาการขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐครึ่งหลังปี 2559 หากเป็นไปตามคาดจะสามารถผลักดัน GDP เติบโตตามเป้าที่ 2.5% หวั่นภาคการส่งออกอาจยังไม่ฟื้น และเงินบาทอ่อนค่าดิ่งลงแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายปี 2559 ตามประเทศอื่น อีกทั้งปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน และยูโรโซน ยังขาดประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อีไอซี ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2559 จะเติบโต 2.5% เผชิญอุปสรรคในด้านการส่งออกสินค้า การส่งออกสินค้าของไทยมีโอกาสที่จะหดตัวต่อเนื่องจากปีที่แล้วอีก 2.1% โดยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้เดิม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเปราะบาง รวมถึงนโยบายการเงินของยูโรโซน และญี่ปุ่นยังขาดประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าของไทยยังเผชิญต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของจีนที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศชะลอตัวลงต่อเนื่อง และลดการนำเข้าวัตถุดิบต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศพัฒนาแล้วสูงขึ้น การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมตอนต้นปี และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้นมีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดเงิน และตลาดทุนทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา โดยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบของธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่ได้ให้ผลตามที่คาดหวังไว้ ค่าเงินยูโร และค่าเงินเยนกลับแข็งค่าขึ้นกว่าเดิม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาวะเงินฝืดที่เป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้ และยังทำให้มีเงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งไทยในระยะสั้น อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป ได้แก่ การเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น รวมทั้งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำมากในปัจจุบัน ในส่วนของไทย อีไอซี คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.5% และค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเช่นเดียวกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาคไปอยู่ที่ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายปี 2559

ขณะที่แรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเวลานานมีเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายของครัวเรือนมีแนวโน้มซบเซาจากการที่รายได้ของครัวเรือนได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน ถึงแม้ตัวเลขการว่างงานโดยรวมยังไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ชั่วโมงการทำงานของแรงงานในหลายภาคส่วนเริ่มลดลง นอกเหนือจากการจ้างงานที่ลดลงแล้ว รายได้ภาคครัวเรือนยังได้รับผลกระทบจากรายได้ภาคเกษตรที่ตกต่ำจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังไม่ฟื้นตัว และจากภัยแล้งที่จะกระทบปริมาณผลผลิต อีไอซี เห็นว่า ความเสี่ยงด้านรายได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบริโภคในประเทศฟื้นตัวได้ยาก

ทั้งนี้ นักลงทุนควรจับตาการลงทุนของภาครัฐในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะนโยบายการคลัง ในส่วนของการเร่งเบิกจ่ายในโครงการลงทุนขนาดเล็ก และมาตรการสนับสนุนทางการเงินในภูมิภาคมีบทบาทอย่างมากในการช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ในระยะต่อไป ต้องจับตาดูการดำเนินการของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีไปแล้ว โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และมอเตอร์เวย์ ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการเรียกความเชื่อมั่น และดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น