xs
xsm
sm
md
lg

TU ทุ่มงบ 700 ล้านบาทเข้าซื้ออะเวนติโฟรเซ่น คาดรับรู้รายได้ทันทีในปีแรก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

  นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ทำสัญญาร่วมทุนเข้าซื้อหุ้น 40% จากบริษัท อะแวนติโฟรเซ่น ฟู้ดส์ จำกัด (Avanti Frozen Foods Private Limited) ผู้ผลิต และแปรรูปกุ้งในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท อะแวนติฟีดส์ จำกัด (Avanti Feeds Limited) โดยการเข้าลงทุนในครั้งนี้คิดเป็นมูลค่า 1,254.1 ล้านรูปี หรือประมาณ 700 ล้านบาท แก้ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนของไทย เหตุยอดต่ำกว่าเป้าของปีก่อนที่เคยผลิตได้

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการลงทุนในครั้งนี้เพื่อกระจายแหล่งจัดหาวัตถุดิบกุ้ง และฐานการผลิตของกลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยน รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการสินค้าของบริษัทที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยชดเชยการขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับการผลิตในประเทศไทย โดย ณ ตอนนี้การเลี้ยงกุ้งในประเทศอินเดียยังไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคร้ายแรง อย่างเช่น โรคกุ้งตายด่วน (Early Mortality Syndrome หรือ EMS) อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะมีการฟื้นตัวในปี 2558 ทว่า ผลผลิตกุ้งของไทยก็ยังคงต่ำกว่าครึ่งจากที่เคยผลิตได้เมื่อก่อนปี 2556

“อะแวนติฟีดส์ ถือเป็นคู่ค้าระยะยาวของไทยยูเนี่ยนในประเทศอินเดีย ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด และมีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่งของอะแวนติ ทำให้ผลการดำเนินการทางธุรกิจของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ดีมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกยินดี และภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมลงทุนในครั้งนี้ อีกทั้งการที่อินเดียกำลังจะกลายมาเป็นฐานการแปรรูปกุ้งสำหรับตลาดส่งออก และอาจกลายเป็นตลาดอาหารทะเลที่สำคัญในอนาคตนั้น ทำให้ไทยยูเนี่ยนมุ่งมั่นที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศอินเดีย โดยหวังว่าการลงทุนในครั้งนี้จะเป็นฐานสำหรับการขยายการลงทุนต่อๆ ไป หากมีโอกาสการลงทุนอื่นๆ ที่น่าสนใจในอินเดีย”

อย่างไรก็ดี จากผลกำไรในการดำเนินงาน และฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ ทำให้บริษัทจะสามารถทำกำไรได้ทันทีในปีแรก ซึ่งปัจจุบัน ทางโรงงานมีจำนวนพนักงาน 750 คน แต่เมื่อโรงงานแห่งใหม่สร้างแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการจะมีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 2,250 คน สำหรับตลาดธุรกิจการแปรรูปกุ้งของโรงงานในตอนนี้ส่วนใหญ่จะเน้นที่ตลาดส่งออก เช่น ที่สหรัฐอเมริกา และตลาดใหญ่ๆ ในทวีปยุโรป ตลอดจนถึงในประเทศญี่ปุ่น ส่วนลูกค้าหลักของบริษัทจะเป็นกลุ่มผู้นำเข้าอาหารทะเลรายใหญ่ของตลาด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ธุรกิจส่วนใหญ่จะเป็นการรับจ้างผลิตตามสัญญาการผลิต (contract manufacturing) หรือรับจ้างผลิตจากเจ้าของสินค้าเอง (OEM)

ขณะที่ความต้องการของประเทศจีนกำลังจะกลายมาเป็นผู้นำเข้าอาหารทะเลมากกว่าเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลเหมือนในสมัยอดีต อีกทั้งจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพแข็งแกร่งในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ จากการที่เศรษฐกิจในอินเดียมีการเติบโต และมีจำนวนประชากรค่อนข้างมาก ทำให้การร่วมทุนในครั้งนี้พร้อมที่จะกระตุ้นให้เกิดการบริโภคกุ้งที่เพิ่มสูงขึ้นได้ในตลาดอินเดีย และการร่วมทุนครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงได้ก็ต่อเมื่อมีการผ่านเกณฑ์ข้อกำหนด และเงื่อนไขการซื้อขายตามธรรมเนียมเป็นที่เรียบร้อย

ในส่วนของการประเมินมูลค่าการลงทุนในครั้งนี้จะอิงกับการประเมินราคาของหน่วยงานอิสระต่อธุรกิจแปรรูปกุ้งของบริษัท อะแวนติโฟรเซ่น ฟู้ดส์ ซึ่งได้แยกออกจากบริษัทอะแวนติฟีดส์ รวมกับค่าใช้จ่ายในการลงทุนของโรงงานใหม่ที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งมีกำหนดเปิดดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 ในส่วนของสถานที่ตั้งโรงงาน ความรับผิดชอบในการบริหารจัดการจะอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท อะแวนติฟีดส์ และทีมงานจาก อะแวนติโฟรเซ่น ฟู้ดส์ โดยได้รับการสนับสนุนจากทีมงานกลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยน

ด้าน นายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจกุ้ง บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายการแปรรูปกุ้งของเราไปยังประเทศอินเดีย เพื่อกระจายแหล่งจัดหาวัตถุดิบกุ้ง และฐานการผลิตของกลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยน รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยรองรับความต้องการสินค้าแปรรูปกุ้งของบริษัทเราที่สูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งกำลังการผลิตของอะแวนติโฟรเซ่น ฟูดส์ จะช่วยชดเชยการขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศในปัจจุบันได้ เพราะภาคการเลี้ยงกุ้งของอินเดียยังไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคร้ายแรง เช่น โรคกุ้งตายด่วน (Early Mortality Syndrome หรือ EMS) อย่างเช่นในประเทศไทย จีน และเวียดนาม ซึ่งมีความมั่นใจอย่างมากเกี่ยวกับการลงทุนในครั้งนี้ โดยเชื่อว่าการเป็นหุ้นส่วนร่วมกับ อะแวนติฟีดส์ จะทำให้บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการที่แข็งแกร่งในธุรกิจอาหารทะเลในประเทศอินเดีย

ขณะที่ นายเอ อินทรา คูมาร์ (A. Indra Kumar) ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อะแวนติฟีดส์ จำกัด กล่าวทิ้งท้ายว่า ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของอะแวนติฟีดส์ ที่ได้เป็นหุ้นส่วนกับไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงรูปแบบธุรกิจที่ดีอันเป็นประโยชน์ร่วมกัน นอกจากธุรกิจอาหารสัตว์แล้ว การแปรรูปกุ้งก็ยังเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ช่วยให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาด และด้วยความแข็งแกร่งของไทยยูเนี่ยนในอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้ประเทศอินเดียจะกลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานกุ้งของโลก 

ทั้งนี้ บริษัท อะแวนติโฟรเซ่น ฟูดส์ จำกัด หรือ AFFPL ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 โดยมี บริษัท อะแวนติฟีดส์ จำกัด (Avanti Feeds Limited) เป็นบริษัทแม่ เพื่อดำเนินการแปรรูปกุ้งในประเทศอินเดียสำหรับส่งออกตลาดต่างประเทศ และตลาดในประเทศ ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการแปรรูปกุ้งของบริษัทแม่ ซึ่งก็คือ บริษัท อะแวนติฟีดส์ จำกัด (Avanti Feeds Limited) และในขณะเดียวกัน บริษัท อะแวนติโฟรเซ่น ฟูดส์ จำกัด กำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่เยอร์ราวาราม (Yerravaram) ในอำเภออีสต์โกดาวารี (East Godavari) ซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานแปรรูปกุ้งในปัจจุบันที่เมืองโกปาลาปุรำ (Gopalapuram) ในรัฐอานธรประเทศ (Andra Pradesh) ราว 80 กิโลเมตร สำหรับโรงงานในปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 25 ตันต่อวัน และส่วนโรงงานแห่งใหม่จะมีกำลังการผลิตอีก 50 ตันต่อวัน ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 75 ตันต่อวัน
กำลังโหลดความคิดเห็น