xs
xsm
sm
md
lg

“ทีเอ็มบี” มอง ศก.ไทยปี 59 ทรงตัวลักษณะสโลว์ไลฟ์ ขณะที่ ศก.โลก สโลเวอร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิเคราะห์ ศก.ทีเอ็มบี มองแนวโน้มจีดีพีของไทยปีนี้ทรงตัวที่ระดับ 2.8% แม้ว่านโยบายลงทุนภาครัฐ และท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุน แต่ว่า ศก.โลกยังไม่ฟื้นตัว กดภาคส่งออกหดตัวต่อเนื่อง แถมมีปัญหาภัยแล้งที่กระทบกำลังซื้อทรุดหนัก ซึ่งจะทำให้ปี 59 เป็นในลักษณะสโลว์ไลฟ์ ขณะที่ ศก.โลก สโลเวอร์

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัว 2.8% โดยจะได้รับปัจจัยหนุนมาจากนโยบายภาครัฐ ทั้งมาตรการกระตุ้นระยะสั้นที่ส่งผลดีต่อภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจอย่างน้อยครึ่งปีแรก ส่วนมาตรการลงทุนระยะยาว ประกอบด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 1.8 ล้านล้านบาท ระยะเวลา 8 ปี ที่จะเร่งการทำสัญญา 20 โครงการให้แล้วเสร็จปีนี้ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ตลอดจนมาตรการระยะยาวในด้านการส่งเสริมการลงทุนซูเปอร์คลัสเตอร์พื้นที่ 9 จังหวัด การลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ

“มุมมองการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกปี 2559 เป็นในลักษณะเศรษฐกิจไทยสโลว์ไลฟ์ เศรษฐกิจโลกสโลเวอร์ กล่าวคือ โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงมีแรงส่งจากเครื่องยนต์ด้านต่างๆ ที่สามารถทำงานสอดคล้องกันมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ปรับสู่ระดับปกติที่จะสามารถรองรับเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปี 2559 มีแนวโน้มขยายตัวในระดับทรงตัวที่ 2.8%”

อย่างไรก็ตาม นอกจากการขับเคลื่อนของนโยบายภาครัฐแล้ว การท่องเที่ยวยังมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 32.5 ล้านคน โดยมาจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากยังได้รับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือน ราคาสินค้าเกษตรที่ทรงตัวในระดับต่ำ และปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร

“เศรษฐกิจไทยแทบทุกด้านมีสัญญาณแผ่วลงช่วงต้นปี โดยเฉพาะการส่งออกที่หดตัวแรง และมีแนวโน้มที่จะแผ่วต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนที่จะดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลังตามทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และเศรษฐกิจคู่ค้าหลักฟื้นตัว ทำให้ภาพรวมส่งออกทั้งปีหดตัว 4.5% แต่ยังมีสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโต เช่น ยานยนต์ และชิ้นส่วนในตลาดออสเตรเลีย และตลาด CLMV หมวดเครื่องจักรอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และเครื่องจักรเกษตรกรรมใน CLMV เป็นต้น”

ส่วนเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวในระดับที่แตกต่างกัน และนำไปสู่นโยบายการเงินโลกที่สวนทางกัน ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงิน โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัวมากขึ้นจากการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ยูโรโซน และญี่ปุ่น ยังเผชิญต่อพายุเศรษฐกิจ ทำให้การเติบโตอยู่ในระดับทรงตัว และต้องจับตาด้านเสถียรภาพของสหภาพยุโรปจากการถอนตัวของอังกฤษ ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 7% แต่ยังได้รับแรงหนุนจากการบริโภค และการเติบโตของภาคบริการเข้ามาทดแทนภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว ส่วนเศรษฐกิจอาเซียนภาพรวมยังมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ

อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงิน ธนาคาร คาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ระดับต่ำ สอดคล้องต่อภาพเศรษฐกิจไทยที่จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง ทำให้อัตราดอกเบี่ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มอยู่ในทิศทางทรงตัวที่ 1.5% อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลง หากความเปราะบางของเศรษฐกิจทั้งใน และต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.1% ลดลงจากประมาณการก่อนหน้าที่ 0.9% โดยมาจากเศรษฐกิจที่เปาะบาง และราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าคาด

สำหรับทิศทางค่าเงินบาท ธนาคารประเมินว่า ในระยะสั้นค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า เนื่องจากจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังไม่ชัดเจน ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ทำให้ภาพรวมค่าเงินบาททั้งปี 59 เคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีแนวโน้มชะลอลงมาอยู่ที่ 4.1% เป็นผลของการชะลอลงของสินเชื่ออุปโภคบริโภค ขณะที่สินเชื่อธุรกิจยังเติบโตได้ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่อนโยบายภาครัฐ เช่น สาธารณูปโภค ก่อสร้าง รวมถึงภาคบริการ และโรงแรมที่เติบโตตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว

ด้านเงินฝากมีแนวโน้มเติบโต 3.7% ตามการขยายตัวของสินเชื่อ และการปรับลดวงเงินคุ้มครองของเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทในเดือน ส.ค. ทำให้ธนาคารต้องสร้างฐานเงินฝากเพิ่มขึ้น ทำให้การแข่งขันเงินฝากมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารขนาดกลางด้วยอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่สูงกว่าเงินฝาก ส่งผลให้สภาพคล่องธนาคารปรับตัวลงเล็กน้อย

ด้านสินเชื่อที่ไม่ให้เกิดรายได้ (NPL) มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.63% จาก 2.55% ณ สิ้นปี 58 โดยมาจากกลุ่มสินเชื่อ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่อการบริโภคที่กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะสินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิตที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
กำลังโหลดความคิดเห็น