xs
xsm
sm
md
lg

แนะจับตานโยบายการเงินของไทยและภูมิภาค หากเฟดมีมติคงดอกเบี้ย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิจัยกสิกรฯ แนะจับตานโยบายการเงินของไทยหากเฟดคงดอกเบี้ย ซึ่งอาจนำไปสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางในภูมิภาค และเชื่อว่าจะทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ และกระทบต่อการส่งออกของไทยมากขึ้นอีก ขณะที่ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในระดับสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า หากคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ซึ่งจะมีการประชุมรอบที่ 2 ปี 2559 ในวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ เลื่อนจังหวะในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป โดยหากปรากฏสถานการณ์ข้างต้นที่ตลาดรับรู้ถึงทิศทางดังกล่าวจริง ก็อาจส่งผลให้มีกระแสเงินทุนบางส่วนไหลเข้ามายังตลาดประเทศเกิดใหม่เพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงไทยที่มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่าประเทศแกนหลัก อันจะสนับสนุนทิศทางเงินบาทแข็งค่าอยู่ในระยะใกล้นี้

ขณะเดียวกัน ก็คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะจับตาสถานการณ์ตลาดการเงินโลกดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าจะนำมาสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งจะทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ และกระทบต่อการส่งออกของไทยมากขึ้นอีก

ทั้งนี้ แม้ว่ากลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะนี้ยังต้องอาศัยนโยบายการคลังเป็นกลจักรสำคัญ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากปัจจัยภายนอกทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวล่าช้ากว่าคาด (ซึ่งอาจสะท้อนผ่านการปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทยของ ธปท.ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2559) ผนวกกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และแนวโน้มค่าเงินบาทที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันของสินค้าออกไทยในระยะต่อไปแล้ว ก็อาจทำให้ต้องพิจารณาทางออกจากฝั่งนโยบายการเงินในระยะถัดไปด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) รอบที่ 2 ปี 2559 ในวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.25-0.50% ต่อเนื่องอีกระยะ เพื่อรอประเมินภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น หลังปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากการประชุมครั้งก่อนหน้า ซึ่งหากเฟดเริ่มกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจังหวะนี้อาจเป็นการซ้ำเติมให้สถานการณ์การฟื้นตัวเลวร้ายลงได้

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลงบ้าง ขณะที่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น โดยมีเหตุสนับสนุนหลักดังนี้ ได้แก่ เครื่องชี้ภาคการผลิต อย่างเช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (ISM Manufacturing) ที่ปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 เดือน เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ให้ภาพที่ซึมลง ขณะที่แนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ดังจะเห็นได้จากการปรับตัวขึ้นของดัชนีอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD Trade-Weighted Index) ก็อาจกระทบต่อการส่งออก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไปด้วย

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินยังเรื้อรัง และทำให้มาตรวัดภาคการผลิต และบริการของจีนยังถดถอยลงต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาหนี้ของภาคเอกชน และทางการจีนที่อยู่ในระดับสูง จนนำมาสู่ปัญหาความเชื่อมั่น และระดับทุนสำรองฯ ที่ลดลงต่อเนื่อง

รวมทั้งยังมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการลงประชามติเพื่อตัดสินว่า สหราชอาณาจักรจะออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) หรือไม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Brexit” ซึ่งเป็นปัจจัยที่เฟดคงจับตาใกล้ชิด เพราะจะเพิ่มความซับซ้อนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปมากขึ้นอีก นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของธนาคารกลางขนาดใหญ่จะยิ่งทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเอกชนสหรัฐฯ

สำหรับจุดสนใจในการประชุมเฟดครั้งนี้อยู่ที่การเปิดเผยมุมมองการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า และมุมมองที่มีต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด ทั้งนี้ ภายใต้ความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มีโอกาสที่เฟดอาจปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งมุมมองต่อระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมลง จากระดับที่เคยคาดการณ์ไว้ในรอบการประชุมเดือน ธ.ค.58 อันเป็นนัยที่บ่งชี้ถึงโอกาสที่เฟดจะเลื่อนจังหวะในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป
กำลังโหลดความคิดเห็น