xs
xsm
sm
md
lg

“อดีตขุนคลัง” ชำแหละมาตรการ ECB ใช้ยาแรงไม่มีผลต่อ ศก.แท้จริง แต่จะทำให้ตลาดหุ้นหวือหวา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“อดีตขุนคลัง” มองมาตรการ ECB รอบนี้ถือเป็นการใช้ยาแรงเหนือความคาดหมายของตลาด ชี้มาตรการดังกล่าวไม่ช่วยดันเงินลงสู่ ศก.ที่แท้จริง แต่ตลาดหุ้นจะได้อานิสงส์ และความหวือหวา ทั้งที่พื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง

นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งมีผลให้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรเข้าสู่ระดับ 0% และลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่ฝากไว้กับ ECB ลงสู่ระดับ -0.4% พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) สู่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน จากเดิมที่ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนนั้น ถือว่าเป็นยาแรงที่เกินความคาดหมายของหลายฝ่าย ซึ่ง ECB ต้องการนำมาใช้เพื่อหวังว่าจะช่วยให้เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจในยูโรโซนฟื้นตัวขึ้น ซึ่งตนกลับมองว่ามาตรการนี้ไม่ได้ช่วยทำให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง

“คงไม่ใช่ของใหม่ แต่มันสิ้นหวังไม่รู้จะแก้อย่างไร การที่ ECB เอามาตรการเหล่านี้มาใช้ได้ เพราะเงินเฟ้อไม่มี พอเงินเฟ้อไม่มีจะฉีดยาแรงๆ ทางการเงินก็ฉีดเข้าไปจนกระทั่งเงินเฟ้อขึ้น หรือพูดง่ายๆ ปั๊มเงินใส่เข้าไป ทำอย่างไรให้เงินกลับเข้าสู่ระบบมากที่สุด แต่หัวใจคือ มันไม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง”

พร้อมกันนี้ อดีตขุนคลัง ยังชี้ให้เห็นว่า การใช้มาตรการยาแรงดังกล่าวของ ECB ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศประสบผลสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจเสมอไป เช่น ญี่ปุ่น แม้จะอัดฉีดเงินเข้าไป แต่เม็ดเงินก็ยังไม่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง เพราะพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนก็ยังเป็นเหมือนเดิม ในขณะที่สหรัฐฯ อาจจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจบ้าง เนื่องจากดำเนินมาตรการในลักษณะนี้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว

นายทนง กล่าวว่า การที่เม็ดเงินไม่ได้ลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้น จึงทำให้เม็ดเงินส่วนนี้ไหลไปสู่การลงทุนในตลาดหุ้น ดังเช่นที่ผ่านมา จะเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับอานิสงส์ในส่วนนี้ ทั้งๆ ที่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยเองไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด

“เงินพวกนี้ก็จะไปลงทุนในตลาดหุ้น จึงเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกกระเพื่อมขึ้น ตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลพวงด้วย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเศรษฐกิจไม่ได้ดีขึ้นเลย มันขึ้นจากปริมาณเงินที่ทะลักอยู่ทั่วโลก เงินมันไหลไปในจุดที่ผลประกอบการดีกว่าที่อื่น ไทยยังดอกเบี้ยสูงกว่าคนอื่น ตลาดหุ้นไทย PE ก็ยังต่ำกว่าที่อื่น”

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้นนักลงทุนกระจายเงินที่เหลือจากการอัดฉีดวนอยู่ข้างบนเหมือนก้อนเมฆ ไม่เป็นฝนตกลงมาเสียที ถ้าเป็นฝนตกลงมามันก็จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง ต้นไม้ก็โตได้ แต่มันไม่ตกเสียที ต้องใช้เวลานานมาก

พร้อมระบุว่า สิ่งที่จะเห็นในช่วงสั้นๆ ภายในระยะเวลา 1 ปีจากนี้ คือ ตลาดการเงิน และตลาดหลักทรัพย์จะกระเตื้องขึ้น ขณะที่ทุกประเทศก็ยังพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจกันอยู่ แต่สหรัฐฯ คงเริ่มไม่แน่ใจว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ เพราะแต่ละประเทศ ทั้งจีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ต่างก็ออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของตัวเองเช่นกัน

“ยาแรงที่ ECB ออกมานี้คงช่วยประเทศที่จน ประเทศที่มีปัญหา ช่วยแบงก์ยุโรปที่เป็นเจ้าหนี้อยู่ในประเทศทั้งหลายให้มีความสามารถในการปล่อยกู้ ในการเจรจาลดหนี้ ในการดูแลกรีซ อิตาลี คือ ไปได้ในภาคการเงินการลงทุน แต่ไม่ใช่ภาคเศรษฐกิจแท้จริง ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่สิ่งที่ไทยจะได้ คือ ความหวือหวาของตลาดหุ้นที่เงินจะเริ่มไหลเข้ามา” นายทนง กล่าวสรุป


กำลังโหลดความคิดเห็น